กองทุนความมั่งคั่งนอร์เวย์ถอนการลงทุนใน Caterpillar – แบงก์อิสราเอล หลังพบโยงละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวสต์แบงก์
กองทุนความมั่งคั่งนอร์เวย์ถอนการลงทุนใน Caterpillar แบงก์อิสราเอล หลังพบโยงละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวสต์แบงก์
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -27 ส.ค. 68 15:59 น.
กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ ประกาศถอนการลงทุนออกจากบริษัท Caterpillar ผู้ผลิตเครื่องจักรของสหรัฐฯ และธนาคารอิสราเอล 5 แห่ง หลังทบทวนพบว่า บริษัทเหล่านี้มีความเกี่ยวโยงในเหตุขัดแย้งในเขตเวสต์แบงก์
คณะกรรมการบริหารของ Norges Bank Investment Management (NBIM) ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดของโลก เผยว่า มีความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้จากการที่บริษัทเหล่านี้อาจมีส่วนในการละเมิดสิทธิของบุคคลอย่างร้ายแรงท่ามกลางสถานการณ์สงครามและความขัดแย้ง โดยการตัดสินใจดังกล่าวยึดตามคำแนะนำของสภาด้านจริยธรรมของกองทุน
NBIM ระบุว่า รถปรับดินที่ผลิตโดยบริษัท Caterpillar ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กนั้นถูกทางการอิสราเอลนำไปใช้ในการทำลายทรัพย์สินของชาวปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมาย โดย ณ สิ้นปี 2024 NBIM ถือหุ้น Caterpillar อยู่ที่ 1.2% จากหุ้นทั้งหมดของบริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ NBIM ยังกล่าวว่าจะขายหุ้นทั้งหมดในธนาคาร 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร First International Bank of Israelและ FIBI Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่,รวมถึง Bank Leumi Le Israel BM,Mizrahi Tefahot BankและBank Hapoalim BM โดย NBIM ระบุว่าธนาคารเหล่านี้ได้ให้บริการทางการเงินสำหรับกิจกรรมการก่อสร้างนิคมในพื้นที่เขตเวสต์แบงก์แก่อิสราเอล ซึ่งละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมา NBIM เผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทั้งในฝั่งการเมืองและภาคประชาชนที่ต้องการให้ถอนการลงทุนออกจากบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับความขัดแย้งในดินแดนปาเลสไตน์ โดยเฉพาะในช่วงที่นอร์เวย์กำลังจะมีการเลือกตั้งในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า นอกจากนี้ นิโคไล ทานเจน (Nicolai Tangen) ซีอีโอของ NBIM ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Dagens Industri ของสวีเดน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กองทุนกำลังเผชิญกับวิกฤต และแสดงความเสียใจที่ตนเองนั้นไม่ได้เรื่องที่กองทุนถือหุ้นในบริษัทเครื่องบินรบของอิสราเอลในขณะที่การโจมตีในฉนวนกาซายกระดับรุนแรงขึ้น
เมื่อต้นเดือนนี้ NBIM ได้ประกาศว่าจะทบทวนการลงทุนในบริษัทอิสราเอลตามข้อเรียกร้องจากกระทรวงการคลังของนอร์เวย์ ซึ่งได้ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เลวร้ายในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ นอกจากนี้ NBIM ยังกล่าวว่าจะขายหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทอิสราเอลที่ไม่ได้อยู่ในดัชนีตลาดหุ้นโดยเร็วที่สุด และจะยกเลิกสัญญากับผู้จัดการสินทรัพย์ภายนอกในอิสราเอล โดยในช่วงครึ่งปีแรก พบว่ามีบริษัทอิสราเอล 56 แห่งที่อยู่ในดัชนีชี้วัดของกองทุน ก่อนจะลดลงเหลือ 38 แห่ง ณ วันที่ 14 ส.ค.
ในขณะเดียวกัน กองทุนยังกำลังพยายามรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนสุทธิสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหลีกเลี่ยงผลกระทบทางการเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอล
การลงทุนในหุ้นของกองทุน ยังพบว่า 55% อยู่ในหุ้นสหรัฐฯ โดย 70% ของพอร์ตเป็นการลงทุนในหุ้น ซึ่งการลงทุนในภาคเทคโนโลยีที่มีสัดส่วนสูง ช่วยให้กองทุนมีกำไรถึง 222,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะขาดทุน 40,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกปีนี้
นักวิจารณ์ที่เรียกร้องให้มีการขายหุ้นอิสราเอลยังตั้งข้อสังเกตว่า กองทุนยังคงลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศอื่น ๆ ที่เผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงภาคส่วนน้ำมันและภาคส่วนอื่น ๆ ที่มีประเด็นทางการเมือง
ที่มา CNBC
รายงาน โดย Supak Hopuengju เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ