บอร์ดโรคติดต่อแห่งชาติ เร่งรัดกวาดล้าง 4 โรค ที่วัคซีนป้องกันได้
เมื่อวันที่ 18 ส.ค.2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แถลงภายหลัง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2568ว่า มีการติดตามสถานการณ์โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ได้แก่
โปลิโอ ซึ่งประเทศไทยได้รับการรับรองว่าปลอดโปลิโอตั้งแต่ปี 2540 แต่ยังต้องเฝ้าระวังผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรงในเด็กต่ำกว่า 15 ปี ส่วนหัดเยอรมัน มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะกำจัดโรคหัดเยอรมันได้ภายในปี 2568 และโรคหัด ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ไทยยังพบว่ามีการระบาด
ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการ นโยบายการกำจัดและกวาดล้างโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน คือโปลิโอ หัด หัดเยอรมัน และหัดเยอรมันแต่กำเนิด ตามพันธะสัญญานานาชาติ และมอบหมายให้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด / คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร เร่งรัดการให้วัคซีนหัดแก่เด็กตามเกณฑ์ให้ครอบคลุมไม่น้อยกว่า 95% และยกระดับความเข้มแข็งของระบบเฝ้าระวังโรค
สำหรับสถานการณ์โรคติดต่อที่สำคัญในช่วงนี้ ได้แก่ โรคมือเท้าปาก มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และกรกฎาคม พบมากในภาคใต้ และในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-4 ปี ย้ำให้สื่อสารมาตรการป้องกันควบคุมโรค ให้สถานศึกษาและสถานรับเลี้ยงเด็กคัดกรองทุกเช้า ดูแลสุขอนามัย ทำความสะอาดของเล่นและสถานที่ที่ใช้ร่วมกันเป็นประจำ หากมีการระบาดเป็นวงกว้างควรปิดทำความสะอาดห้องเรียน และแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่สอบสวนควบคุมโรค
โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV
แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2567 พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0 - 4 ปี แต่ยังไม่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ย้ำการสื่อสารมาตรการป้องกันควบคุมโรค โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
โรคไข้เลือดออก
ปีนี้พบผู้ป่วยแล้ว 36,995 ราย เสียชีวิต 37 ราย แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในทุกเขตสุขภาพ เนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19 ย้ำหากมีไข้ให้รับประทานยาพาราเซตามอล หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) หาก 1 – 2 วัน อาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์
โรคชิคุนกุนยา หรือ ไข้ปวดข้อยุงลาย
มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยพบ อัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักมีอาการปวดข้อเรื้อรังและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคในกลุ่มคนต่างด้าวประชากรแฝง โดยส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวภาพ (Biometric) เพื่อยืนยันตัวตน มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน โดยแผนปฏิบัติการฯ อยู่ระหว่างพิจารณากลั่นกรองของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ระยะที่ 1 (1-6 เดือน) เป็นการเตรียมพร้อมเชิงระบบและนำร่อง โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ จัดทำแนวทางความร่วมมือ (MOU) เร่งพัฒนาระบบ Health ID ที่เชื่อมโยง Biometric (TRCBAS) ของสภากาชาดไทย และจัดการทรัพยากร / ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ โดยใช้สมุทรสาครโมเดล ในพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครนายก ชลบุรี สมุทรปราการ จันทบุรี สระแก้ว ระยอง ตราด รวมถึงจังหวัดอื่นที่มีความพร้อม
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สมุทรสาครโมเดล เป็นการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคโดยใช้ Biometric ยืนยันตัวตน ปัจจุบันทุกโรงพยาบาล และ รพ.สต. สังกัดสธ. ในจังหวัดสมุทรสาคร มีเครื่อง Iris scan ครบ 100%
สามารถระบุอัตลักษณ์บุคคลของแรงงานต่างด้าว ป้องกันการสวมสิทธิและการสวมตัวตนจากบุคคลอื่น เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลการรักษาพยาบาล และเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการขยายผลต่อเนื่องในเขตสุขภาพที่ 5 โดยมีโรงพยาบาลสมุทรสาครเป็นพี่เลี้ยง และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร จัดระบบในภาพรวมของเขตสุขภาพและติดตามการดำเนินงาน