ม็อบเขมรลี้ภัย ป่วนรั้วลวดหนาม Vs ม็อบไทยเลิก MOU43 – 44 บาน?
สถานการณ์ “ศึกเขมร”ในช่วงระหว่าง “หยุดยิง”ตามข้อตกลงการเจรจาระดับทวิภาคี ผ่านการประชุมGBC ที่ “คงสภาพ”การหยุดยิงของกองกำลัง2ฝ่ายไทย-กัมพูชาไว้ที่ฐานที่มั่น ตามแนวรบที่เกิดการปะทะและใครเข้ายึดกุมสภาพได้ก่อนเที่ยงคืนวันที่ 28ก.ค.
นอกจากจะยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมหลังการประชุมRBC 16ส.ค. ที่ฝ่ายเขมร ยังไม่ยอมรื้อถอน “ทุ่นระเบิดสังหารใหม่” ที่ทำให้ กำลังพลทหารไทย บาดเจ็บสาหัสขาขาดต่อเนื่องหลายนาย
จนกองทัพไทยต้องฟ้องโลกและขู่จะตอบโต้ป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 ยังถูกจับตาในการประชุม RBC ครั้งต่อไป ที่จะมีการคุยกับ “แม่ทัพภาคที่1”วันที่ 21ส.ค. และคุยกับ“แม่ทัพภาค2”วันที่ 22ส.ค.ถูกฝ่ายเขมรขอเลื่อนของของแม่ทัพภาค2ออกไป ไปวันที่ 27ส.ค.
โดยการเลื่อนประชุมดังหล่าว ถูกจับตานอกจากประเด็นที่ฝ่ายไทยจี้ให้เขมร “ถอนทุ่นระเบิด”แล้ว ฝ่ายเขมรจะมีการนำประเด็น“รั้วลวดหนาม”ที่ฝ่ายกองทัพไทยติดตั้งบริเวณเขตแดน มาหารือหรือไม่ หลังจากที่มีการเรียกร้องจาก “ทหารเขมร”ให้ฝ่ายไทยรื้อถอน และเริ่มมีสัญญานการปลุกม็อบ “ชาวเขมรที่เป็นผู้ลี้ภัย” หนีภัยสงครามเขมรแดง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอดีตเข้ามาฝั่งไทย
ด้านบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว มาชุมนุมร้องว่ารั้วลวดหนามส่งผลกระทบผ่ากลางชุมชน จนทำให้ กองทัพบกต้องออกมาแจง โดย “พลตรี วินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบก ยืนยัน เป็นพื้นที่อาณาเขตของไทย บริเวณบ.หนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว รอยต่อแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 และ 47
โดยบริเวณดังกล่าวมีประเด็นปัญหา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ ที่ฝ่ายไทยและกัมพูชา ไม่สามารถตกลงที่ตั้งหลักเขตแดนได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าตำแหน่งหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบัน มีการเคลื่อนย้ายเข้าไปในฝั่งประเทศของตน จึงต้องรออาศัยกลไกทวิภาคี อาทิ JBC มาแก้ไขปัญหาในระยะยาว
2. พื้นที่ดังกล่าว ในอดีตเมื่อครั้งเกิดสงครามการสู้รบภายในกัมพูชาในปี พ.ศ.2520 รัฐบาลไทย ได้ให้ชาวเขมรอพยพลี้ภัยเข้ามาชั่วคราว เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติบางส่วน ไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ และ ยังพบว่าเขมรละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์ สนับสนุนให้ชาวเขมรมาสร้างถิ่นฐานอย่างถาวรในฝั่งไทย แม้กองกำลังบูรพา ได้ดำเนินการประท้วง ร้องเรียนฝ่ายกัมพูชาในเวทีต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับหน่วยทหารในพื้นที่ และผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน แต่ฝ่ายกัมพูชากลับนิ่งเฉย
ไม่มีการชี้แจงในรายละเอียด หรือแก้ไขใดๆ
จึงยืนยันได้ว่าฝ่ายไทยได้ใช้การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีมาตลอด ปัญหา ณ ปัจจุบัน ฝ่ายเขมร มีเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ พยายามจะใช้ “ประชาชน”ให้เป็นผู้ออกหน้า ในการรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยประเทศไทยในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ อาจเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า กับฝ่ายทหารโดยตรง ทำให้เข้าใจได้ว่า การกระทำดังกล่าวเหมือนมีการวางแผนมาอย่างเป็นระบบ และคอยเฝ้าดูว่า หากฝ่ายไทยดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดไป ก็จะนำเรื่องดังกล่าวไปบิดเบือน ทำลายความน่าเชื่อถือประเทศไทย เพื่อขอความเห็นใจสังคมโลกอย่างที่เป็นภาพให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
เรียกว่าประเด็นที่ ม็อบชาวเขมรที่“หนองจาน”ถูกวิเคราะห์ว่าจะมีโมเดลลักษณะเดียวกันอีกหลายพื้นที่ ที่เขมรใช้วิธีนี้และเกิดปัญหาไม่แต่กรณี 3 ปราสาท หรือที่ช่องอานม้า ที่มีตลาดและชุมชน
กระทั่งกลายเป็นปัญหาเวลาเกิดความขัดแย้งชายแดนระหว่างกำลัง2ฝ่าย อย่างที่เริ่มมีรายงานหลายพื้นที่ เริ่มมีการขยับของมวลชนชาวเขมรลี้ภัย ที่รุกล้ำเข้ามาตั้งชุมชนในฝั่งไทยนานแล้วในหลายพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งกองทัพตรวจสอบพบการรุกล้ำที่จะกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคง
โดยทั้งประเด็น ทุ่นระเบิด และ รั้วลวดหนาม ที่กระทบพื้นที่เขตแชดนอ้างสิทธิ์ ถูกจับตา ความบานปลายหลังจากนี้ ทั้งทางกายภาพ และในวงการเจรจาทวิภาคี นัดที่เหลือ ที่หากรื้อฟื้น ความไม่ชัดเจนและนำมาสู่การเคลียร์พื้นที่หลังการรุกล้ำจาก”ชาวเขมรลี้ภัย” ก็ย่อมสุ่มเสี่ยง นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงกับชาวบ้านที่อาจมีการแทรกซึมของ“ครอบครัวทหารเขมร”
และอาจนำไปสู่การปะทะ อย่างที่เคยมี”โมเดล”กรณีชุมชนต่างๆในพื้นที่ใกล้ 3ปราสาทมาแล้ว ทั้งที่ถือเป็นการละเมิดMOU43จากฝ่ายเขมร
ขณะเดียวกัน ประเด็น MOU43 ที่มีการขยายประเด็นผลประโยชน์ทางทะเลในMOU44 ก็กำลังถูกจับตาเช่นกัน กับความเคลื่อนไหวของ “ม็อบรวมพลังแผ่นดิน”จาก ฝ่ายไทย ที่นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 21ส.ค.ซึ่งตรงกับวันที่ “นายกอิ๊งค์” ไปชี้แจงปมคลิปเสียงฮุนเซน ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อเรียกร้องให้ “รัฐบาลไทย”ทำการยกเลิกMOU ทั้ง 2 ฉบับนี้
เพื่อแก้ปัญหา ความพยามของ “มาสเตอร์มายด์”ที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์ที่บานปลาย ในการปักเขตแดนหลายพื้นที่ที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ผลประโยชน์ทางทะเล
อย่างที่ “สมชาย แสวงการ”อดีตสว.หนึ่งในแกนนำที่ร่วมแถลงวันนี้(18ส.ค.) ระบุว่า MOU 43 และ 44เป็นปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ด้านพลังงานในอ่าวไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ของประเทศไทยได้.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews