‘คนชายแดน’ เข้าใจ ‘สงคราม’ เศร้าใจ! ภาพเด็กน้อยยืนร้องไห้กอดครู ที่ต้องลาออกกลับกัมพูชา
13 ส.ค. 2568 - นายอัฎธิชัย ศิริเทศ เกษตรกร และผู้ประกอบการ โรงบ่มไวน์ เดอ ซีโมน บ้านอำปึล ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาควายประมาณ 4 - 5 กิโลเมตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ผมกำลังจะตาย…!! มีเนื้อหาดังนี้
…
ผมเข้าใจว่า บทบาทที่แท้จริงของสงคราม คือ การเมือง ตำราแต่โบราณเขาว่ายังงั้น หลายคนยังไม่เชื่อ ยกเว้นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งนั้นไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการฆาตกรรม ไร้เกียรติและขาดสิ้นความเป็นมนุษย์ ที่ว่า สงครมม คือการเมือง ก็เพราะถึงสุดท้ายแล้ว ก็ต้องการการเจรจา ต้องหาทางออก ต้องแก้ไข ความสัมพันธ์ และดำเนินชีวิตกันต่อ สงครามจึงต้องการ การยอมรับ จากมิตรประเทศ จากประชาคมโลก
ดังนั้น สิ่งที่จะถูกยอมรับได้คือ เรื่องราวในระหว่างสงคราม ตั้งแต่วีรกรรมที่กล้าหาญ การเสียสละ และที่สำคัญ เว้นระยะ หรือ พื้นที่ สำหรับการห่วงใย ดูแล เพื่อนมนุษย์
หลายเรื่องราว จึงถูกนำมาสร้างเป็นหนังเชิงประวัติศาสตร์ เพื่อเตือนสติ เตือนใจ เพื่อหล่อหลอมความคิด จิตใจมนุษย์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ภูมิใจในชาติตน ภูมิใจในการมีชาติ การสร้างการรักษาเกียรติภูมิ อีกส่วนหนึ่ง ก็เพื่อให้เห็น ว่า ในความเลวร้าย ป่าเถื่อน เราก็ยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์ ในจิตใจทหารหาญ ในจิตใจประชาชน ไม่ว่าฝ่ายไหน หรือเลวร้ายอย่างไร
ความเป็นมนุษย์ นี่เองที่ทำให้เรา มีความหวัง ทำให้เราภูมิใจที่เกิดเป็นคน และทำทุกอย่าง เพื่อรักษา ความเป็น”คน”
สงครามจึงสร้าง 2 สิ่งให้เกิดขึ้นเสมอ คือ สร้างปีศาจในใจผู้คน กับ สร้างนักบุญ พวกแรก ผันตัวเองไป เคียดแค้นชิงชัง เอาแต่หมกมุ่นครุ่นคิด อยากทำลาย อยากฆ่า อยากกำจัด ยึดครองเอาให้หมด จึงทำทุกอย่างจนไม่เหลือจิตใจของความเป็นมนุษย์ อีกแล้ว ส่วนอีกพวกกลับพยายามฟื้นคืนความหวัง ความงดงาม ของมนุษย์ พยายามรักษา หวงแหน ทนุถนอมสิ่งที่เรียกว่า ความรักและการให้อภัย แต่ทั้ง 2 พวก มีความคล้ายกันคือ พร้อมเสียสละชีวิตเพื่อจุดมุ่งหมาย เหล่านั้น
เมื่อคืนนอนอ่านข่าวสารการส่งตัวเด็กนักเรียนเขมรกลับประเทศแล้วเศร้าเงียบๆ เศร้าจับใจบอกไม่ถูก ผมภาวนา ให้สิ่งที่คิดทำนี้ เป็นแค่เหตุผลทางการเมือง ไม่ใช่เกิดจากปีศาจในสงครามครอบงำเรา เหมือนการรักษาชีวิตมนุษย์ ก็เช่นกัน เพราะเด็กคือ ความงดงามของโลก ยังเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลง พัฒนา อบรมบ่มนิสัยสอนสั่งได้ โลกต้องการเด็กน้อยมาเติบโตรักษาเผ่าพันธุ์ สืบทอดอารยธรรมมนุษย์ให้สืบไปภาคหน้า
เราทำสงครามเพียงเพื่อยับยั้ง ความบ้าความคลั่งของผู้ใหญ่บางคน ( เท่านั้น ) คนมีอำนาจบางคน เพื่อทำลายความคิดที่อันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ได้ทำเพื่อทำลายความเป็นมนุษย์ในตัวเรา ดังนั้น ทุกชาติ ทั่วโลกชาติที่เจริญแล้ว จะมีหลักปฏิบัติเหมือนกัน คือ จะไม่ทำร้ายเด็กๆ ไม่ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ และจะไม่ทำให้มนุษย์สิ้นหวัง แล้ว สูญเสียความดีงาม ในตัวตน
ดังนั้น ทหารทำหน้าที่ทหาร ในสนามรบ ในขณะที่นักการเมือง ทำหน้าที่ทางการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ล้วนต้องทำหน้าที่ ทางการเมือง ทำทุกทางที่พอจะทำได้ ให้สงครามจบลงโดยไว บนโต๊ะการเจรจา หรือ โน้มน้าว ประสานงาน จับมือ ฯลฯ เพื่อสร้างเงื่อนไขให้สงครามเดินไปสู่การสิ้นสุด เพื่อรักษาชีวิตประชาชน หรือ ประชากรชาวโลก รักษาทรัพย์สมบัติ บ้านเรือน และที่สำคัญ รักษาหรือสร้างความหวังถึงสันติภาพ สันติสุข ให้เกิดขึ้นโดยไว นอกจากนั้น สื่อมวลชน สื่อเพจ นักสื่อสารอิสระ ทั้งหลาย จะต้องตั้งสติ นำพาผู้คนให้ตื่น ให้ตาสว่าง ให้ตระหนักตน มีความหวังถึงสันติสุข ไม่ใช่ ปลุกเร้า มอมเมา ให้คนคลั่งบ้า โกรธแค้นเคียดขึง ลุกมาไล่ฆ่าไล่ทำร้ายกัน หมดสิ้นความเป็นมนุษย์ ประจานความน่าละอายให้ชาวโลกเห็น ซึ่งตอนนี้ แม้แต่ อดีตพระ ระดับมหา ยังเชียร์ หรือ สาใจกับความล้มตายของเพื่อนมนุษย์
เมื่อคืนภาพเด็กน้อยยืนร้องไห้ กอดครู ที่ต้องลาออกจากโรงเรียนกลับบ้าน ( กลับประเทศกัมพูชา ) เห็นแล้ว เศร้าและรวดร้าวใจ ลึกๆ นี่ผมมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นตัวเอง ค่อยๆ หมดสิ้นความเป็นมนุษย์ลงไปทุกวัน หรือ นี่….
ในความรู้สึกนั้น เหมือนเรากำลังล้มตายตามทหารหาญ ในสนามรบไปด้วย…. ความเป็นมนุษย์ของเรากำลังจะตาย!!!!!
…..
ปล. บทความวันนี้ เป็นบทความที่เขียนยากที่สุด ใช้เวลานาน หยุดพักหลายรอบ และเผชิญกับความหนักใจ เชื่อว่าหลายคน อ่านจบ คงตัดความสัมพันธ์กับผม หรือ เลิกคบ เลิกซื้อ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของผม แต่ผมคงต้องเขียนให้จบ ไม่งั้นคงไม่คลี่คลาย ความเศร้าในใจ