สัมภาษณ์พิเศษ รักษาการเอกอัครราชทูตจีน วาระ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน
กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – รักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทย ถือเป็นแบบอย่างของความร่วมมืออย่างสันติระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างกันในแง่ระบอบการปกครองและขนาดของประเทศ
นายอู๋ จื้ออู่ อุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ทีมข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวไทย ถึงประสบการณ์ที่ได้เป็นประจักษ์พยานความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ มานานกว่า 30 ปี นับตั้งแต่เข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า แม้สาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทย มีความแตกต่างกันทั้งในแง่ระบอบการปกครองและขนาดของประเทศ แต่ต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจต่อกัน ที่จะร่วมมือในการแสวงประโยชน์ร่วมกันเพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศมาตลอด ขณะเดียวกันต่างก็ยึดมั่นที่จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพ ความเจริญ และการพัฒนาทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก จนมีคำกล่าวว่า จีนกับไทยเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ระหว่างประเทศที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกัน
อุปทูตอู๋ จื้ออู่ มองว่า จีนกับไทย เป็นประเทศที่เสมือนเป็นญาติกัน ความผูกพันใกล้ชิดแบบนี้หายากในประเทศอื่น ๆ ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศมีมานับพันปี และเกิดขึ้นโดยการไปมาหาสู่กันฉันมิตรระหว่างประชาชน จึงฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลของทั้งสองประเทศ ต่างมีความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน ปฏิบัติต่อกันด้วยความเสมอภาค และมีท่าทีต่อปัญหาภูมิภาคหรือระหว่างประเทศที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน อาจเป็นเพราะว่า มีวัฒนธรรมที่คล้ายกัน มีวิถีความคิดที่คล้ายกัน จึงเข้าใจกันได้ง่าย และเข้ากันได้ง่าย
นายอู๋ กล่าวแสดงความเห็นว่า แม้ว่าเวลาผ่านไปแล้ว 50 ปี จีนกับไทยก็ยังคงเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ได้ และเชื่อมั่นว่าจีน-ไทย ยังคงที่จะต้องเสริมสร้างความร่วมมือกันและกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ยิ่งในช่วงที่สถานการณ์มีความไม่แน่นอน ทั้ง 2 ประเทศยิ่งต้องจับมือกันให้แน่น และต้องพยายามสร้างความแน่นอนให้กับความสัมพันธ์และความร่วมมือในระดับทวิภาคี รวมทั้งในระดับโลก ทั้งนี้ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ และแสวงหาความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันให้กับประเทศทั้งสองและภูมิภาคต่อไป
เมื่อกล่าวถึงบริษัทและนักลงทุนสัญชาติจีนที่เข้ามาลงทุนประเทศไทย อุปทูตอู๋ จื้ออู่ ยกคำกล่าวของนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งได้พูดไว้ในที่ประชุม World Economic Forum ที่เมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Summer Davos เมื่อเร็ว ๆ นี้ มาอ้างอิงว่า โลกปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความปั่นป่วนและความไม่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังดำเนินอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง คือ ความเป็นโลกาภิวัตน์ในโลกเศรษฐกิจ และการพึ่งพาอาศัยกันของนานาประเทศต่าง ๆ ซึ่งยังต้องแสวงหาความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น สำหรับจีนกับไทย ก็ไม่แตกต่างที่จะต้องร่วมมือและพึ่งพากันและกัน พร้อมกับเปิดเผยว่า ปัจจุบันในนิคมอุตสาหกรรม WHA ซึ่งเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของไทย มีบริษัทสัญชาติจีน เข้ามาตั้งโรงงานมากกว่า 300 บริษัท เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยที่มีอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพของตลาดภายในประเทศ และความได้เปรียบของประเทศไทยในแง่ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนกฎหมาย การตลาด ฯลฯ ทั้งนี้ บรรดาบริษัทนักลงทุนจีนในนิคมอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งเข้ามาลงทุนพร้อมกับเทคโนโลยีนวัตกรรมของตัวเอง ต่างสะท้อนความคิดที่จะช่วยยกระดับและปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไทย สร้างบุคลากรใหม่ให้ไทย รวมทั้งสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศไทย ไปพร้อม ๆ กับแสวงหาโอกาสการพัฒนาบริษัทของตนเอง
สำหรับความเห็นที่มีต่อกระแสสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้น อุปทูตอู๋ จื้ออู่ รักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเป็นยุคที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลอย่างคึกคัก จึงจำเป็นที่ประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสารด้วยความเข้าใจ รวมทั้งควรหาข้อมูล และสังเกตสถานการณ์ให้รอบด้าน
ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์พิเศษ อุปทูตอู๋ จื้ออู่ รักษาการเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ยังกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจีนเล็งเห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยมาโดยตลอด และประสงค์ที่จะปฏิบัติด้วยเสมอภาค เท่าเทียม มีความเป็นมิตรกับประเทศรอบข้าง เพื่อที่จะสร้างความสมานฉันท์ ความเจริญรุ่งเรือง และเสถียรภาพให้กับประเทศรอบข้างอย่างยั่งยืน.-810 สำนักข่าวไทย