สรุปสถานการณ์ หลัง Trump เคาะภาษีไทย 19% นักวิเคราะห์มองเป็นสัญญาณดี แต่ยังไม่ใช่ชัยชนะถาวร
หลังจากที่ไทยและกัมพูชาตกลงหยุดยิงโดยมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลาง นายฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ยืนยันว่าได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับไทย โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าจากไทยไว้ที่ 19% ซึ่งแม้ไม่ใช่ระดับต่ำสุดในภูมิภาค แต่ก็ถือว่าหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้
แม้ทางการสหรัฐฯ ยังไม่เผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยข้อเสนอสำคัญที่ใช้ในการเจรจา เช่น
• ลดภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ โดยบางสินค้าไทยลดอัตราภาษีให้ 0% และบางรายการขอระยะเวลาให้ผู้ประกอบการปรับตัวก่อน เช่น พลังงาน อุปกรณ์การแพทย์ และเกษตรกรร
• ลดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยไทยตั้งเป้าลดดุลการค้าลง 70% ภายใน 5 ปี ด้วยการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ
• ตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า กรมศุลกากรจะเข้มงวดกับสินค้าที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นของไทยแต่ผลิตจากจีนหรือเวียดนาม เพื่อแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทย
• ส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐฯ รัฐบาลไทยจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เทคโนโลยี และแปรรูปอาหารในสหรัฐฯ
• กลไกติดตามข้อตกลง ฝ่ายไทยพร้อมร่วมระบบติดตามและแก้ปัญหาข้อพิพาท แม้สหรัฐฯ ยังไม่ให้คำตอบอย่างเป็นทางการ
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จากประกาศล่าสุดของทำเนียบขาว ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับกัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะที่เวียดนามได้ 20% และบรูไนสูงถึง 25% ส่วนลาวและเมียนมาเสียภาษีสูงสุดที่ 40%
ด้านสิงคโปร์แม้ไม่ปรากฏในรายชื่อ แต่คาดว่าได้รับอัตราพื้นฐาน 10% ซึ่งต่ำที่สุดในภูมิภาค สะท้อนว่าไทยอยู่ในระดับกลางของอาเซียน ไม่ได้ได้เปรียบเชิงภาษีเท่าสิงคโปร์ แต่ก็หลีกเลี่ยงแรงกดดันแบบเดียวกับกลุ่มที่โดนภาษีสูงสุดได้สำเร็จ
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิตลาดหุ้นไทยหลังข้อตกลง กระทรวงการคลัง ระบุว่า อัตราภาษี 19% ที่สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้นั้น ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่เคยกังวลว่าจะสูงถึง 36% และยังสอดคล้องกับอัตราที่ประเทศในอาเซียนอื่นได้รับ
ขณะที่มุมมองของนักวิเคราะห์จากบล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) มองว่า แม้ไทยจะได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 19% ซึ่งต่ำกว่าระดับเดิม (36%) และสร้างแรงบวกต่อหุ้นส่งออกในระยะสั้น แต่ไทยไม่ได้ได้เปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ต้นทุนแรงงาน โครงสร้างการผลิต และความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ (10%) หรือเวียดนามและกัมพูชาที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาเงื่อนไขแฝงที่อาจแนบมากับการลดภาษี เช่น การเปิดเสรีภาคบริการ มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และแรงงาน ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เคยได้รับการคุ้มครองในระยะยาว
ในแง่โอกาสทางการค้า สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอาหารแปรรูปยังมีศักยภาพในตลาดสหรัฐฯ แต่ต้องเผชิญอุปสรรคจากมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น กฎถิ่นกำเนิด และมาตรฐาน FDA ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนควรรอจังหวะสะสมใหม่หลังการขายทำกำไรรอบก่อน เนื่องจากภาษีต่ำเป็นเพียง “การซื้อเวลา” ไม่ใช่ชัยชนะถาวร หากไทยยังไม่สามารถลดต้นทุนและยกระดับโครงสร้างการผลิตให้ตอบโจทย์ตลาดโลกได้อย่างแท้จริง ข้อได้เปรียบนี้ก็อาจหายไปอย่างรวดเร็วภายใต้แรงกดดันเชิงโครงสร้าง
อย่างไรก็ตาม ช่วงก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังไทยได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2025 จาก 2.1% เป็น 2.2% พร้อมปรับเป้าการส่งออกเพิ่มเป็น 5.5% จากเดิมอยู่ที่ 2.3%