ดาวโจนส์ ปิดตลาดร่วงลง 500 จุด จ้างงานอ่อนแอ กำแพงภาษีทรัมป์กดดัน
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ดาวโจนส์ หุ้นวอลล์สตรีท ร่วงลงแรงในวันศุกร์ (1ส.ค.) วันแรกของการซื้อขายเดือนสิงหาคม เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสัญญาณที่ส่งออกมาชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังอ่อนแอลงและกำแพงภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีอุตสาหกรรม ดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ร่วงลง 542.40 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 43,588.58 จุด ถือเป็นการลดลงที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน
ดัชนี S&P 500 ร่วง 1.60% ปิดที่ 6,238.01 จุด ซึ่งเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม
ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite ร่วงลงแรง 2.24% ปิดที่ 20,650.13 จุด ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน
รายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยบริษัทดาวโจนส์คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่ง
ขณะที่ในเดือนก่อนหน้านั้นได้มีการปรับลดตัวเลขลงอย่างมีนัยสำคัญ การเติบโตของการจ้างงานในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเพียง 14,000 ตำแหน่ง ลดลงจากตัวเลขเดิมที่ 147,000 ตำแหน่ง และการจ้างงานในเดือนพฤษภาคมลดลงเหลือ 19,000 ตำแหน่ง จาก 125,000 ตำแหน่ง ส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนตัวลงมาระยะหนึ่งแล้ว
หุ้นธนาคาร ปรับตัวลดลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ โดย ราคาหุ้น JPMorgan Chase ร่วงลงมากกว่า 2% ขณะที่ Bank of America
และ Wells Fargo ร่วงลงมากกว่า 3% ตามลำดับ
ขณะที่ หุ้นของ GE Aerospace และ Caterpillar ลดลงเกือบ 1% และ 2% ตามลำดับ
โทษเฟดลดดอกเบี้ยช้า
“สิ่งที่เราเห็นคือความกังวลเกี่ยวกับการเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มูลค่าตลาดปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก” เธียร์รี วิซแมน นักกลยุทธ์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยจาก Macquarie Group กล่าว
"นอกจากนี้ยังบ่งชี้ถึงความหวาดกลัวเกี่ยวกับการเติบโตช่วงปลายฤดูร้อน แต่คุณสามารถมองในมุมนี้ว่า ผู้ที่สนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) นั้นถูกต้อง ซึ่งส่งผลให้เกิดแนวคิดว่าเฟดช้าเกินไป"
มีเพียงสองเสียงของ FOMC ที่โหวตให้ลดอัตราดอกเบี้ยขณะที่เสียงส่วนใหญ่โหวตให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5%ในการประชุมเฟดเมื่อเร็วๆนี้
ตัวเลขการจ้างงานที่ชะลอลงมากดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่เฟดจะดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยและพยุงเศรษฐกิจได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนจะอยู่ที่ประมาณ 86% หลังจากตัวเลขการจ้างงานออกมา ตามข้อมูลการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์ ของ CME ซึ่งถือเป็นการกลับทิศจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โอกาสดังกล่าวลดลงอย่างมากหลังจากที่ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางจำเป็นต้องรอและประเมินผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อก่อนที่จะปรับลดดอกเบี้ย
การที่ทรัมป์ประกาศใช้ภาษีศุลกากรฉบับปรับปรุงใหม่ในช่วงข้ามคืน ซึ่งมีอัตราตั้งแต่ 10-41% ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเช่นกัน สินค้าประเทศหนึ่งที่ถูกขนส่งผ่านอีกประเทศหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 40% ตามข้อมูลของทำเนียบขาว
แคนาดา ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากร 35% เพิ่มขึ้นจาก 25%
“นักลงทุนกำลังขายหุ้นทำกำไร ขณะที่กำไรของกลุ่มเทคโนโลยีแผ่วลง ความเสี่ยงด้านมหภาคเพิ่มขึ้น และปัจจัยตามฤดูกาลติดลบ หุ้นที่ขับดันตลาดมีน้อยลง มูลค่าหุ้นแพงขึ้นมาก และการวางตำแหน่งป้องกันกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ” โจเซฟ คูซิค ผู้เชี่ยวชาญด้านพอร์ตโฟลิโอของ Calamos Investments กล่าว
การเทขายหุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีก็ส่งผลกระทบต่อดัชนีหลักๆ ในวันศุกร์เช่นกัน หุ้นของ Amazon ดิ่งลงมากกว่า 8% หลังจากที่ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซรายนี้ให้การคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานที่ไม่มากนักสำหรับไตรมาสปัจจุบัน
ราคาหุ้นของ Apple ลดลง 2.5%
ดัชนีหลักๆ เหล่านี้ก็เผชิญกับสัปดาห์ที่ลดลงเช่นกัน โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 2.4% ซึ่งเป็นผลลัพธ์รายสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม และดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.9% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน และดัชนี Nasdaq ก็ลดลง 2.2% ในช่วงเวลาดังกล่าว