เศรษฐกิจทุบ ‘กลุ่มวัสดุก่อสร้าง’ อ่วม ครึ่งหลังสัญญาณยังไม่ฟื้น ‘กำลังซื้อหด-หนี้ครัวเรือน’
เปิดงบกลุ่ม “วัสดุก่อสร้าง” ไตรมาส 2 และครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิลดลง โบรกคาดครึ่งปีหลังแนวโน้มยังไม่ดีมากนัก เนื่องจาก “กำลังซื้อยังอ่อนแอ” และ “เศรษฐกิจ” โดยรวมชะลอตัว “บล. ทิสโก้” ชี้ยอดขายสาขาเดิมยังไม่ดีขึ้น “บล.หยวนต้า” หวังมีกระตุ้นเศรษฐกิจ “บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” แนะ “เลี่ยง” ลงทุนหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง
“กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างบ้าน” (Home Improvement) ยังคงได้รับผลกระทบจาก "กำลังซื้อ" ในประเทศชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 สาเหตุหลักมาจากภาคครัวเรือนมีภาระหนี้สูง ทำปรับพฤติกรรมระมัดระวังในการใช้จ่าย ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของภาคท่องเที่ยวและสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ส่งผลให้ผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวออกมาไม่ค่อยสดใสมากนัก
สอดรับผลประกอบการของ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) กำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 1,398.55 ล้านบาท ลดลง 13.76% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิครึ่งแรก อยู่ที่ 3,105.93 ล้านบาท ลดลง 6.86% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอตามสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) มีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 518.95 ล้านบาท ลดลง 32.09% เทียบระยะเวลาเดียวกันปี 2567 งวดหกเดือนแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,136.44 ล้านบาท ลดลง 23.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบทั้งกลุ่มจะออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่คาดว่าในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น แต่ทว่าคงจะยังไม่ค่อยดีมากเนื่องจากกำลังซื้ออ่อนแอและเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายในสาขาเดิมยังไม่เห็นสัญญาณปรับตัวดีขึ้นเลย
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นทุกปีอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายได้บ้างในระยะสั้นๆ แต่ไม่มากนัก ณ ปัจจุบันจังหวัดที่น้ำท่วมยังน้อย และยังไม่เห็นผลที่ชัดเจนขนาดที่จะทำให้ยอดขายปรับตัวเป็นบวกได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้หากวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวในกลุ่ม มองว่า GLOBAL ยังมีประเด็นที่ต้องกังวลกับกรณีเรื่องราคาเหล็กที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบว่าเหล็กไม่ได้คุณภาพก่อนหน้านี้ ถึงแม้บริษัทจะยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณภาพเหล็กได้ เนื่องจาก GLOBAL เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการตรวจสอบเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบผลการตรวจสอบที่แน่ชัด
ขณะที่ HMPRO ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในบรรดาหุ้นกลุ่ม Home Improvement ในขณะนี้ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังโฮมโปรยังคงมีการขยายสาขาอยู่ นอกจากนี้อาจจะต้องพึ่งพิงสาขาในต่างประเทศมากกว่าสาขาในไทย
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างและ Home Improvement ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 อาจไม่ดีนัก เช่น GLOBAL HMPRO DOHOME โดยคาดว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากทั้งปัจจัยด้านฤดูกาลและเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในทางกลับกันปัจจัยที่คาดว่าจะหนุนผลประกอบการของบริษัทอย่าง GLOBAL HMPRO และ DOHOME ในครึ่งปีหลัง ได้แก่ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มดังกล่าวยังจำเป็นต้องมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ไตรมาส 3 ปี 2568 เห็นการฟื้นตัวกลับมา ทว่าหากเทียบกับปีก่อนหน้า เศรษฐกิจในปีนี้ยังคงแย่กว่า
หากพิจารณาเป็นรายบริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่ม Home Improvement เดียวกัน HMPRO มีจุดเด่นด้านเงินปันผล โดยปันผลครึ่งปีแรกประกาศช่วงปลายเดือนส.ค.2568 และให้ผลตอบแทนประมาณ 2% กว่า ทำให้ HMPRO มีโอกาสราคายืนได้ดีกว่า ขณะที่ GLOBAL และ DOHOME ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องเงินปันผล ส่วนประเด็นปัญหาเรื่องเหล็กที่เคยเกิดขึ้นนั้น ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงเพื่อรับข่าวไปแล้ว
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งประกอบด้วย GLOBAL และ DOHOME และ HMPRO โดยรวมยังไม่แนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 1.75% แล้ว แต่ในทางกลับกันไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการซื้อที่เพิ่มขึ้น หรือการก่อสร้างที่มากขึ้นเลย
สำหรับภาพรวมครึ่งปีหลังประเมินตลาดยังคงจะไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง HMPRO คาดผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2568 ก็น่าจะยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง เนื่องจากตัวเลขยอดขายสาขาเดิมของ HMPRO ในไทยยังคงอยู่ในแดนลบ อย่างไรก็ตาม แม้ GLOBAL อาจจะมีการฟื้นตัวขึ้นมาได้เล็กน้อยในไตรมาส 3 ปี 2568 เนื่องจากฐานของแต่ละบริษัทไม่เท่ากัน แต่โดยภาพรวมแล้ว ยังคงไม่ชอบทั้งกลุ่มนี้