ทำไม? ผู้หญิงไม่สูบบุหรี่ เสี่ยง‘มะเร็งปอด’ ตรวจคัดกรองก่อนสาย
“มะเร็งปอด”เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับต้น ๆ ของโลก โดยแต่ละปี ทั่วโลกมีผู้ป่วยใหม่ 2.2 ล้านคน เสียชีวิต 1.8 ล้านคน และมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี โดยรวมเพียง 15-20% เท่านั้น ขณะที่ใน ประเทศไทย พบผู้ป่วยมะเร็งปอด เป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้ป่วยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งทั้งหมด
ในอดีตหลายคนมักจะมองว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอด เกิดจากการสูบบุหรี่หนัก แต่ปัจจุบันกลับพบว่า “ผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่” เป็นมะเร็งปอดจำนวนมากขึ้น รวมถึงผู้ป่วยอายุน้อย หรือกลุ่มบุหรี่มือสอง
สาเหตุของมะเร็งปอด เกิดได้หลายเหตุปัจจัย โดยเฉพาะกลุ่มบุหรี่มือสอง ที่อยู่ร่วมกับผู้สูบบุหรี่ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการสูดควันสูบบุหรี่จำนวนมากเป็นประจำสม่ำเสมอ การได้รับควันบุหรี่มือสอง มือสาม จากการสูดหายใจเข้าไปจะทำให้มีสารพิษตกค้าง จนก่อให้เกิดมะเร็ง
โดยในควันบุหรี่มือสองประกอบด้วยสารเคมีมากกว่า 7,000 ชนิด และมีสารก่อมะเร็งมากกว่า 70 ชนิด. การสูดดมควันบุหรี่มือสองสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด กล่องเสียง ลำคอ ช่องปาก และหลอดอาหาร. นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ โดยเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคปอดบวม หลอดลมอักเสบ และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในระหว่างตั้งครรภ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
โรช ไทยแลนด์ พลังเสียงกู้ชีพ! ฉลองเดือนผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง
หยุดมะเร็งปอด! คร่า 41 ชีวิต/วัน พบผู้ป่วยรายใหม่ 57 คน /วัน
ผู้หญิงป่วยมะเร็งปอดจากควันบุหรี่มือสอง
พ.อ.รศ.นพ.ไนยรัฐ ประสงค์สุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดจะมีผู้ป่วยรายใหม่ ประมาณ 23,713 รายต่อปี โดยทุกๆ 2.7 รายต่อชั่วโมง ทั้งนี้ ผู้ป่วยมะเร็งปอดส่วนใหญ่ ประมาณ 85% จะเป็นมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก ส่วนผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กจะพบได้ประมาณ 15% จากผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด ซึ่งเซลล์มะเร็งมีการเจริญเติบโตเร็ว และแพร่กระขายได้เร็วกว่าปอดชนิดไม่เล็ก และมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กสาเหตุหลักๆ มาจากการสูบบุหรี่
ประเด็นที่น่ากังวลคือ มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ และผู้ป่วยอายุน้อยลง หรือกลุ่มบุหรี่มือสอง ซึ่งสาเหตุหลักของมะเร็งปอด หรือประมาณ 80-85% ของผู้ป่วยทั้งหมด คือ การสูบบุหรี่ทั้งสูบเองและควันบุหรี่มือสอง รองลงมาคือ มลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ที่มีผลกระทบชัดเจนโดยเฉพาะในภาคเหนือที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงก๊าซเรดอนในบ้านเรือน ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส พบได้ในดินเกือบทั้งหมด และเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ
“แนวโน้มโรคมะเร็งปอดในอนาคต มีคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงปี 2030 โดยจะมีจำนวนผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นมากที่สุด จากในอดีต อัตราส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดผู้ชายต่อผู้ป่วยผู้หญิงอยู่ที่ 3-4 คนต่อ 1 คน เนื่องจากการสูบบุหรี่ แต่ปัจจุบันช่องว่างดังกล่าวกลับลดลง อีกทั้งจะมีผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่ยีน Epidermal Growth Factor Receptor (EGFR) เพิ่มขึ้น และพบผู้ป่วยอายุน้อยลง คือ มีอายุระหว่าง 40-50 ปีมีจำนวนเพิ่มขึ้น” พ.อ.รศ.นพ.ไนยรัฐ กล่าว
ผู้ป่วยมะเร็งปอดผิดปกติที่ยีน 57-68%
พ.อ.รศ.นพ.ไนยรัฐ กล่าวว่า ปัจจัยพันธุกรรมทำให้การรักษามะเร็งปอดในคนเอเชียแตกต่างจากชาวตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบความผิดปกติยีน EGFR สูงที่สุดในโลกอยู่ที่ 40-60% สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งปอดจากความผิดปกติที่ยีนนี้ประมาณ 57-68% ของมะเร็งปอดชนิด Adenocarcinoma ยังมีการผลการศึกษาพบด้วยว่า ควรตรวจ ยีน Anaplastic Lymphoma Kinase (ALK) ในผู้ป่วยมะเร็งปอด โดยเฉพาะผู้หญิงไม่สูบบุหรี่และผู้ป่วยอายุน้อย ด้วยพบความผิดปกติที่ยีน ALK พบได้ประมาณ 5-7%
หัวใจสำคัญของการเพิ่มอัตราการรักษามะเร็งปอด คือ การตรวจพบเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ที่อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่ มีประวัติครอบครัว หรือสัมผัสมลพิษทางอากาศบ่อย
“ผู้ป่วยหลายคนมักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการหนักแล้ว เพราะอาการเริ่มต้นมักคล้ายโรคทั่วไป เช่น ไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด, หายใจลำบาก, ปวดหน้าอกไม่หาย รวมถึงน้ำหนักลดผิดปกติ หรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ แต่ปัจจุบันประชาชนเริ่มตระหนักถึงภัยของโรคมะเร็งปอดมากขึ้นมีตัวอย่างเคสเข้าตรวจคัดกรองแล้วสามารถรักษามะเร็งปอดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งสามารถรักษาหายขาดได้” พ.อ.รศ.นพ.ไนยรัฐ ให้ข้อมูล
รู้จักตรวจคัดกรอง Low-dose CT scan
ผู้ป่วยที่มีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปอด ควรตรวจคัดกรองด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อประเมินรอยโรค และตรวจคัดกรองด้วย Low-dose CT scan เป็นวิธีที่แนะนำสำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง และเมื่อได้รับการวินิจฉัยแล้ว การตรวจหาความผิดปกติของยีนจะช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ทั้งนี้ในประเทศไทยมีการตรวจคัดกรองและพบเจอมะเร็งปอดในระยะแรกๆ ได้เพียง 30%
"หากตรวจพบความผิดปกติที่ยีน EGFR หรือ ALK ผู้ป่วยมีโอกาสยับยั้งโรคได้หากตรวจพบไว และสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ามากด้วยยามุ่งเป้า ซึ่งให้ผลการรักษาดีกว่าเคมีบำบัดอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้ป่วยมีอัตราการตอบสนองสูงถึง 70-80%"พ.อ.รศ.นพ.ไนยรัฐ กล่าว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง กล่าวต่อว่า การรักษาที่มีประสิทธิภาพยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และประเทศได้ ด้านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางให้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงการคัดกรองด้วย Low-dose CT scan โดยเฉพาะกลุ่มคนที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองและไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ
เลิกสูบบุหรี่ เลี่ยงมลพิษ ตรวจสุขภาพ
ปัจจุบันมียาและแนวทางรักษามะเร็งปอดได้หลายรูปแบบ ทั้ง การผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสี ยากระตุ้นภูมิบำบัด ยาต้านเฉพาะจุด (ยาพุ่งเป้า) ทั้งแบบใช้เดี่ยว หรือใช้ร่วมกัน โดยสามารถใช้ยาต้านเฉพาะจุดได้สำหรับกรณีการกลายพันธุ์ของยีนที่พบบ่อย ได้แก่ EGFR,ALK และ BRAF mutation หากผู้ป่วยมีอาการที่อวัยวะใด เช่น มะเร็งแพร่กระจายไปที่กระดูก และผู้ป่วยปวดมากจะฉายรังสีเฉพาะจุด เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
ขณะที่การเข้าถึงยาที่จะบรรจุในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่มีการเปิดช่องให้ยาที่มีประสิทธิภาพดี และราคาไม่แพงเข้าบรรจุในสิทธิประโยชน์เช่นกัน หวังลดอัตราความสูญเสียและภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว
“การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยการเลิกสูบบุหรี่ ซึ่งการหยุดสูบบุหรี่เป็นระยะเวลามากกว่า 5 ปี จะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งปอดได้ การหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ และการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันด้วย Low-dose CT scan เมื่อพบว่าตนเองอยู่กลุ่มเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด เพราะการตรวจคัดกรองและพบในระยะแรกๆ จะสามารถทำให้รอดชีวิตได้” พ.อ.รศ.นพ.ไนยรัฐ กล่าว