IMF ขยับจีดีพีโลก-ไทยปี 68 “ขึ้น” สัญญาณวิกฤตภาษีทรัมป์เริ่มผ่อนคลาย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยระบุว่า จีดีพีโลกปีนี้จะขยายตัวที่ระดับ 3% สูงกว่าคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนเมษายนที่ให้ไว้เพียง 2.8% ขณะเดียวกันยังขยับเป้าหมายจีดีพีโลกปีหน้าเป็น 3.1% จากเดิมที่ 3.0%
แรงส่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการมองโลกในแง่ดีของ IMF ครั้งนี้ มาจากหลายปัจจัยผสมผสานกัน ทั้งการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นล่วงหน้าก่อนภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้จริง การทยอยลดภาษีการค้าระหว่างประเทศบางส่วน ภาวะการเงินโลกที่เริ่มผ่อนคลาย และการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวในบางประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งช่วยเสริมภาพรวมให้สดใสมากกว่าที่เคยคาดไว้
แม้จะยังมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ (ซึ่งจะโตต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 3.3%) แต่ IMF ชี้ชัดว่า “ความวิตกในระดับรุนแรงได้ลดลงแล้ว” เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐเริ่มปรับลดภาษีศุลกากรจากระดับสูงสุดที่เคยสร้างแรงสั่นสะเทือนในช่วงต้นปี ขณะที่ผู้ประกอบการต่างชาติเร่งตุนสินค้าก่อนมาตรการจะเริ่ม ทำให้การค้าระหว่างประเทศยังไม่สะดุดรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายเคยกังวล
สำหรับเศรษฐกิจไทย รายงานฉบับนี้ถือเป็นข่าวดีพอสมควร เมื่อ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปี 2568 ให้ขยายตัวถึง 2% เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และยังคาดการณ์ปีหน้าว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 1.7% ซึ่งสูงขึ้นจากเดิมที่ประเมินไว้ 1.6% ทั้งนี้ IMF ถือเป็นสถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศรายเดียวในขณะนี้ที่ประเมินจีดีพีไทยปีนี้ถึง 2% ในขณะที่ธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ยังคงประเมินไว้ที่ 1.8% เท่ากัน
ในระดับภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้รับอานิสงส์เช่นกัน โดย IMF ปรับเพิ่มการเติบโตของกลุ่มอาเซียน-5 ทั้งปีนี้และปีหน้าเป็น 4.1% ดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 4.0% และ 3.9% ตามลำดับ สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ค่อยเป็นค่อยไปแต่ยังเดินหน้าอย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม IMF เตือนว่าความไม่แน่นอนในระดับโลกยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย และภาวะความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายเร็ววัน นอกจากนี้ ยังต้องจับตาความเสี่ยงเชิงลบที่อาจเกิดจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรในอนาคต ซึ่งอาจสร้างความผันผวนให้กับระบบเศรษฐกิจโลกได้อีก
ข้อมูลล่าสุดของ IMF ระบุว่า อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐในปัจจุบันอยู่ที่ 17.3% ลดลงจากระดับ 24.4% ที่เคยคาดไว้เมื่อเดือนเมษายน แต่ยังถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแนวโน้มการลดภาษีนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีของพรรครีพับลิกันที่เพิ่งผ่านมติในสภา ซึ่งอาจกลายเป็นอีกหนึ่งกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐในระยะต่อไป
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ สิ่งที่ IMF ย้ำชัดคือ การสร้างเสถียรภาพ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างสภาพแวดล้อมที่คาดการณ์ได้ในเชิงเศรษฐกิจคือภารกิจสำคัญลำดับต้นๆ ที่ทุกประเทศควรให้ความสำคัญ เพื่อประคองให้การเติบโตที่เริ่มมีแสงสว่างนี้ ยืนระยะได้ยาวกว่าการฟื้นตัวแบบฉาบฉวยในอดีต
อ้างอิง: IMF