"ภูมิธรรม" ปัดข่าว เด้ง "ผบ.ตร." ไม่เป็นความจริง ย้ำ! สัมพันธ์ยังดี
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเลื่อนการประชุมกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)
ระบุว่า ตนไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวเลย ไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หลังจากที่มีการกำหนดวันประชุมแล้วนั้นก็มีโผตำรวจออกมา และก็มีเรื่องร้องเรียนออกมา ซึ่งมีการร้องเรียนมาตั้งแต่ต้น ทำให้ตนก็แปลกใจว่ารู้ได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่ได้มีการประกาศออกมา
แต่เมื่อมีการนำมาพูดถึงรายละเอียด ตนได้รับเรื่องราว และที่สำคัญมีการร้องเรียนจาก 4 ท่าน ซึ่งมีนายตำรวจอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเรื่องการทำงาน ส่วนหนึ่งเป็นนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจในคดีชั้น 14 คือ
- พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร.,
- พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์
- พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบช.ก.)
ซึ่งได้เขียนจดหมายร้องเรียนให้ตนแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้มีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถึงเรื่องร้องเรียนดังกล่าวจะมีการพิจารณาอย่างไรได้บ้าง โดยหากวินิจฉัยความเห็นในแง่กฎหมาย กฤษฎีกาก็บอกว่าเป็นสิทธิ์ที่จะสามารถหยิบขึ้นมาพิจารณาได้ เพราะยังไม่ได้มีความผิดอะไร ส่วนจะรับได้หรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของ ก.ตร.
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า กรณีของพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้บอกตนว่าไม่ได้สนใจว่าตัวเองได้หรือไม่ แต่เห็นว่าในการจัดการครั้งนี้มันมิชอบ ก็เป็นตามข่าวที่ว่าไป จึงอยากให้มีการทบทวน
ส่วนพล.ต.ต. นพศิลป์ ก็เป็นตำรวจที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เพราะฉะนั้น ทันทีที่ตนเองไปถึงก็ได้พูดคุยกับผบ.ตร. และได้สอบถามว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ท่านก็มีการพยายามอธิบายหลายเรื่อง ตนเองไม่มีปัญหาอย่างอื่นเลย แต่หากมีการร้องเรียนแล้ว ตนเองไม่สามารถทำได้ ตามกฎหมายก็จะมีปัญหา ดังนั้น ข้อเสนอแนะของทางกฤษฎีกาก็ถือเป็นข้อข้อเสนอแนะที่ นำไปพิจารณาได้
ตนพูดคุยกับ ผบ.ตร. ได้บอกว่าทุกอย่างได้ทำแล้ว ซึ่งสิ่งที่มีการเสนอมาคือเรื่องระบบการพิจารณา หากข้ามไปก็จะไปกระทบกับคนอื่น ๆ ในอนาคต และการพูดคุยกันก็ใช้เวลานานพอสมควรในการทำความเข้าใจ จนถึงจุดที่เลื่อนการประชุมออกไปก่อนหรือไม่
เพราะมีการพูดถึงระบบ ก็ต้องกลับไปทบทวนดู เพราะไม่เช่นนั้นการนำไปพิจารณาก็ไม่สามารถทำได้ ตนเองไม่อยากให้เกิดอะไรแล้วไม่เรียบร้อย อยากให้มันจบก่อน และขอเลื่อนออกไปอีกสองสัปดาห์ เพื่อให้ได้ทำงาน แต่ก็มีข้อกฎหมายโต้แย้งหลายเรื่อง
และตนก็ได้ถามต่อในที่ประชุมถึงเรื่องข้อกฎหมายต่าง ๆ โดยที่ถามชัดเจนแล้วว่าการขยายเกินกรอบระยะเวลาวันที่ 31 สิงหาคม จะมีข้อโต้แย้งกันคือในระเบียบ ก.ตร. บอกว่าต้องทำให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม เว้นแต่มีเหตุผลที่เพียงพอถึงจะขยายเวลาต่อไปได้
เมื่อเรียกประชุมแล้วควรจะต้องประชุม และได้มีการพูดคุยกับผบ.ตร. แล้วว่าจะนำประเด็นที่พูดคุยได้ พูดคุยให้หมดก่อน และมีการเตรียมการเวลาว่าการประชุมในครั้งนี้น่าจะดึก จึงประชุมวาระอื่นก่อน และหยิบยกเรื่องการร้องเรียนเข้ามาพูดในที่ประชุม และเพื่อประกันสิทธิของผู้ที่ร้องเรียน และยังมีเวลาจึงเลื่อนออกไปถึงแค่วันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งยังอยู่ในกรอบกฏหมายทุกประการ
ยืนยันว่า อำนาจในการปิดประชุมก็สามารถทำได้ ตนมีอำนาจในการสั่งสิทธิ์ประชุม และเลื่อนการประชุม แต่ขยายกรอบระยะเวลาไม่ได้ และมีเสียงตามมาว่า การที่ตนเองทำแบบนี้ จะเป็นการอำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งก็ไม่ได้อะไร เพราะตัดสินใจไปแล้ว ในฐานะประธานต้องทำให้กระบวนการมันชอบธรรมก่อน
ส่วนกระแสข่าวการเด้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายภูมิธรรม ระบุว่า เป็นเรื่องที่เกินเลย ตนไม่เคยพูดแบบนี้ และความสัมพันธ์กับ ผบ.ตร. ก็ยังดีอยู่ ก็เห็นใจผบ.ตร. และเห็นใจตัวเองด้วย เพราะก็โดนหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการ และไม่ได้อยู่ๆหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลเลย ที่เขาร้องมาคือให้มีกระบวนการกลับไปทบทวน ซึ่งยังมีเวลาและหากตัดสินใจแล้วจะเลือกหรือไม่เลือกอย่างไรที่ประชุม ก.ตร. เป็นคนตัดสิน ย้ำว่า ตนเองไม่ได้มีเรื่องไม่สบายใจอะไรกับ ผบ.ตร.
"ผมไม่สามารถจะใช้อำนาจผม ไปเที่ยวเด้งใครได้ การจะเด้ง ทุกอย่าง ต้องมีเหตุมีผลและท่านก็มีไมตรีจิตผมก็บอกว่าถ้าผมตัดสินใจแบบนี้ผมรับผิดชอบ และว่าไปตามกระบวนการ" นายภูมิธรรม กล่าว
ทั้งนี้ยังมีการพูดคุยกับ ผบ.ตร. ว่าต้องขอโทษสำหรับการประชุมในวันนี้แต่ก็อยู่ในระหว่างการที่มีเรื่องร้องเรียนมาจึงจะทำให้โปร่งใส ไม่อยากให้มีเรื่องคาราคาซัง ไม่อยากเห็นแบบนั้น
ส่วนได้พูดคุยกับผบ.ตร. ก่อนเห็นข่าวหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม ระบุว่า มีคนบอก ซึ่งก็มองว่าไร้สาระ ตนมีสิทธิ์อะไรจะไปเด้ง ผบ.ตร. และไม่อยู่ในความคิดเลย และความสัมพันธ์ของตนกับ ผบ.ตร. ก็ดี มีแต่คนจะปั่นให้ทะเลาะกัน
มองว่าเวลานี้ทุกอย่างต้องทำอยู่ภายใต้กฎหมาย กรอบของวันที่ 31 สิงหาคม และเป็นอำนาจของตนที่จะปิดการประชุม เมื่อเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้น และกลับไปพิจารณา
สำหรับเรื่องนี้เคลียร์ชัดเจนแล้วไม่ต้องถามอีก เพราะไม่อยากกลายเป็นผู้ที่เอามาปลุกให้เป็นความขัดแย้ง ทุกอย่างที่ทำชัดเจนมีเอกสารหลักฐาน และเรื่องนี้ชัดเจนแล้วไม่ต้องถามอีกแล้ว