ศิริกัญญาแนะรัฐปรับลดงบอีกเพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ ชี้จัดสรรน้อยเกินเมื่อเทียบกับอดีต ด้านพริษฐ์ยกปัญหางบซ้ำซ้อน ขาดประสิทธิภาพ
วันนี้ (13 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระ 2 และ 3 เป็นวันแรก โดยในการพิจารณามาตรา 4 ว่าด้วยภาพรวมของงบประมาณรายจ่าย ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปราย ขอให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 3,730,600 ล้านบาท
ศิริกัญญาอภิปรายว่า ไม่ใช่เรื่องปกติที่เราอยากตัดลดงบประมาณเพิ่ม ในยามที่ประเทศอาจจะกำลังเผชิญกับวิกฤตคู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการปะทะตามแนวชายแดน และหวังว่าวิกฤตินี้จะจบในเร็ววัน ไม่ยืดเยื้อไปถึงงบสมัยหน้า การขอปรับงบในครั้งนี้ เพื่อให้เก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น ตลอดการอภิปราย คงได้ฟังว่า มีการจัดงบประมาณใดบ้างที่ซ้ำซ้อน ไม่จำเป็น แพง และงบใดที่มีการต้องตัดลดรีดไขมันออกชะลอหรือเลื่อนออกไปก่อนต้องจัดลำดับความสำคัญกันใหม่
ศิริกัญญาระบุว่า จากวิกฤตที่จะเกิดกับสงครามการค้าที่จะมาถึง ที่จะทำให้การคลังของประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยงทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ข้อมูลจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 ถึง 2569 ที่มีการคาดการณ์ว่า GDP จะโตอยู่ที่ 2.8% แต่ล่าสุดในปลายปี 2569 เหลือเพียงแค่ 1.6% ซึ่งแม้เราจะทราบอัตราภาษีแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขจะดีขึ้น เพราะหลายวิจัยปรับเพิ่ม GDP ปี 2568 จริง แต่ไม่มีวิจัยฉบับไหนที่ปรับเพิ่ม GDPในปี 2569
ส่วนการประมาณการรายได้ ปี 2569 ถ้า GDP ปรับลดลง การจัดเก็บรายได้ก็ลดลงด้วย เรามีปัญหาการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาลมาต่อเนื่องอย่างยาวนาน ความเสี่ยงด้านรายจ่าย ปี 2569 จะต้องมีงบเพื่อฟื้นฟู พยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มีการเตรียมการไว้งบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังคงอยู่ที่ 25,000 ล้านบาทเท่าเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรเพิ่มเข้ามาในส่วนนี้
สำหรับความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ ขณะนี้กำลังจะชนเพดานอยู่แล้ว พื้นที่ทางการคลังของเราเหลือไม่มากแล้ว ปัจจุบันเหลือแค่ 64% ที่เราคิดว่าน่าจะพอไหว แต่สิ้นปีงบ 2568 จะเหลือที่ 66% ส่วน ปี 2569 ถ้ากู้ตามที่วางแผนไว้หนี้สาธารณะต่อ GDP จะขึ้นไปถึง 69% อันเนื่องมาจากว่า GDP ของเราที่กำลังถดถอยลงเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP กำลังจะชนเพดานในปี 2569 จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องปรับงบประมาณในส่วนนี้ เพื่อไปเป็นส่วนสมทบในส่วนหน้า และต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะให้เกิน 70% ของ GDP และอาจจะต้องมีการออก พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก. เงินกู้เพื่อมาพยุงเศรษฐกิจในปี 2569
“ซึ่งงบปี 2569 ดูไม่รู้สึกรู้สาเลยว่ามีวิกฤตรออยู่ ต่างจากช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่งบเคยไปถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ดิฉันไม่อยากปรับลดงบประมาณในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นที่จะต้องเก็บกระสุน ถ้าการจัดงบประมาณในครั้งนี้ ไม่ได้ตอบโจทย์เพื่อช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามการค้าได้ เราต้องปรับลดงบประมาณในครั้งนี้ เพื่อเก็บพื้นที่ทางการคลังเอาไว้ใช้เมื่อเกิดวิกฤตจริง” ศิริกัญญาทิ้งท้าย
ชำแหละปัญหางบประมาณซ้ำซ้อน แยก-แย่งกันทำ
ต่อมา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายในมาตราเดียวกันว่า เข้าใจดีว่ารัฐบาลเริ่มจัดสรรงบประมาณปี 2569 ตั้งแต่ก่อนที่จะมีวิกฤตภาษีตอบโต้สหรัฐอเมริกา แต่สิ่งที่ไม่สามารถเห็นด้วยได้คือ การที่คณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ซึ่งมีเสียงข้างมากมาจากตัวแทนรัฐบาลทำน้อยเกินไปในการจัดลำดับความสำคัญงบ เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่ตามมากับข้อตกลงสหรัฐฯ และระเบียบโลกที่ไม่มีความแน่นอน ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อปากท้องของประชาชนในทุกภาคส่วน
พริษฐ์ชี้ว่า สิ่งที่ประเทศเราขาดมากที่สุดไม่ใช่ปริมาณงบประมาณ แต่คือประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณอย่างตรงจุดและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเปิดไปดูงบประมาณของกระทรวงไหนจะค้นพบงบประมาณบางส่วนที่ปรับลดได้ เพื่อโยกไปแก้ปัญหาให้กับประชาชน ทั้งอาคารสำนักงานที่หรูหราหรือมีมากเกินจำเป็น งบในการพัฒนาแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน งบอบรมสัมมนาที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
พริษฐ์อภิปรายถึงปัญหาระบบราชการ และการจัดทำงบประมาณของประเทศ ที่ส่งผลให้งบประมาณทุกกระทรวงตั้งไว้สูงเกินจำเป็น ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องความซ้ำซ้อน โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ปัญหาแยกกันทำ ปัญหาแย่งกันทำ และปัญหาย้ายออกไปทำ
ปัญหาแยกกันทำ หมายถึงความซ้ำซ้อนในระดับโครงการ มีโครงการที่เป็นประโยชน์และคาบเกี่ยวกับภารกิจของหลายหน่วยงาน แต่หน่วยงานกลับต่างคนต่างทำมากกว่าร่วมกันทำ ยกตัวอย่างแพลตฟอร์มยกระดับทักษะแรงงาน ลงทุนอย่างน้อย 12 แพลตฟอร์ม ใน 12 หน่วยงาน คาบเกี่ยว 5 กระทรวง แต่ผ่านมา
1 ปี รัฐบาลไม่มีความพยายามที่จะควบรวมแพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่กลับมีการเพิ่มแพลตฟอร์มอย่างน้อยหนึ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งไม่ได้มีความสามารถใหม่ที่แพลตฟอร์มเดิมทำได้
ส่วนปัญหาแย่งกันทำ เป็นความซ้ำซ้อนในระดับภารกิจ หลายหน่วยงานมีการขีดเส้นและจัดวางภารกิจที่แตกต่างกัน ไม่ซ้ำซ้อนกันอย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติ หลายหน่วยงานกลับมีการขยายภารกิจที่เสี่ยงจะไปซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงพาณิชย์ แม้จะมี 3 กรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าระหว่างประเทศ และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แต่ในเชิงปฏิบัติพบว่าปีนี้กรมการค้าระหว่างประเทศจะมีการตั้งงบประมาณ 10-20 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์และมันสำปะหลัง ดูแล้วน่าจะเป็นภารกิจของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมากกว่า
ปัญหาย้ายออกไปทำ เป็นความซ้ำซ้อนในระดับหน่วยงาน การที่เรามีหลายหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อภารกิจ เสี่ยงที่จะซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว ยกตัวอย่างการทำงานที่คาบเกี่ยวกับสำนักงานปลัดของแต่ละกระทรวง ภารกิจอย่างหนึ่งคือ แผนและนโยบาย สำนักงานปลัด 18 แห่งจาก 20 แห่งมีการระบุว่าจะทำแผนและนโยบาย ซึ่งอยู่ในพันธกิจของหน่วยงาน แต่ในความเป็นจริงหลายกระทรวงกลับมีหน่วยงานอื่นในระดับกรมที่ถูกตั้งแยกออกมาเพื่อรับผิดชอบเรื่องแผนและนโยบาย
“ดังนั้น หากเราไม่เริ่มต้นปรับปรุงเรื่องการทำงบประมาณโดยการลดความซ้ำซ้อนที่แทรกอยู่ในทุกระดับของระบบราชการ ประเทศเราจะเสี่ยงที่จะไม่เหลืองบประมาณเพียงพอในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชน เสี่ยงไม่มีความคล่องตัวมากพอในการรับมือกับวิกฤตและปัญหาใหม่ๆ ที่ถาโถมเข้ามา”