เจาะหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม EV มาตรการ Anti-Involution แค่ กระแส หรือ จุดเปลี่ยน
บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า นโยบายการแก้ปัญหา Anti-Involution ของจีน เป็นปัจจัยหนุนโมเมนตัมเชิงบวกหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม EV ในระยะสั้น จากความคาดหวังสงครามราคาจะลดความรุนแรงลง แต่ราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ผลิตรถยนต์ต้องฟื้นตัวดีขึ้นด้วย
การประชุมคณะกรรมาธิการกลางด้านเศรษฐกิจและการเงินของจีน (CCFEA) เมื่อต้นเดือน ก.ค.2568 ได้เรียกร้องให้มีการควบคุมการแข่งขันด้านราคา รวมทั้งควบคุมการผลิตส่วนเกินอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันที่รุนแรง เช่น เหล็กกล้า, แผงโซลาร์, แบตเตอรี่, รถยนต์ไฟฟ้า และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ซึ่งในการประชุม Politburo ครั้งล่าสุด ได้เน้นย้ำถึงความพยายามที่จะจัดการกับปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงในจีน (Anti-Involution) โดยรัฐบาลมีมาตรการที่จะควบคุมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม, บริหารจัดการกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมหลัก และกำหนดแนวทางการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อควบคุมการผลิตส่วนเกิน
ล่าสุดหน่วยงานภาครัฐหลายฝ่าย ได้ออกมาตรการสนับสนุนการดำเนินการตามแนวนโยบาย Anti-Involution (Fig.1) ซึ่งจะเน้นมาตรการที่เจาะจง และเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น ออกคำสั่งห้ามตัดราคาขายสินค้าที่ต่ำเกินต้นทุน, ตรวจสอบกำลังการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมเฉพาะ, กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำด้านอัตราการใช้กำลังการผลิต, ควบคุมปริมาณผลผลิต และกำหนดแนวทางการเลิกกิจการของโรงงานที่ล้าสมัย
ซึ่งพัฒนาการเชิงบวกเหล่านี้ช่วยสร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุนต่อทิศทางนโยบายของรัฐที่มุ่งเน้นแก้ปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการแข่งขันรุนแรง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เหล็ก ซีเมนต์ และรถยนต์ไฟฟ้า
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าในจีนต้องใช้เวลา
บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมุมมองว่า แม้ว่ารัฐบาลจีนและหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามใช้กฎเกณฑ์ หรือ ข้อบังคับต่างๆ ในการยุติสงครามราคาในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า แต่ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยที่ทำให้การแข่งขันด้านราคายังมีโอกาสดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ผลิตรถยนต์ในจีนก็มีจำนวนมากเช่นเดียวกัน ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์ในจีนมีอัตราการใช้กำลังผลิตโดยเฉลี่ยเพียง 55% ในปี 2024 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 80% ที่เป็นอัตราเหมาะสมสำหรับการผลิตรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มทุน
ดังนั้น ผู้ผลิตที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินจึงหันมาใช้กลยุทธ์ในการลดราคาที่รุนแรงเพื่อเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิต ซึ่งผลกระทบของการแข่งขันด้านราคาทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ผลิตลดลง โดยอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลดลงเหลือ 12% ในปี 2024 จาก 13% ในปีก่อนหน้า
ดังนั้น การดำเนินนโยบาย Anti-Involution เป็นสิ่งที่ท้าทายในการแก้ปัญหาสงครามราคาของอุตสาหกรรม EV เนื่องจาก (1) การปฏิรูปอุปทานเพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกินสามารถดำเนินการปฏิรูปในอุตสาหกรรมต้นน้ำที่เป็นของรัฐวิสาหกิจ เช่น เหล็กกล้า ถ่านหิน ได้ง่ายกว่าอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ภาคเอกชนเป็นเจ้าของธุรกิจ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ จึงอาจจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อเป็นการจูงใจให้ภาคเอกชนลดกำลังการผลิตลง (2) ต้องคำนึงการใช้มาตรการลดกำลังการผลิตที่อาจกระทบต่อการจ้างงาน ซึ่งในปัจจุบันภาคแรงงานของจีนยังคงอ่อนแอ (3) ผู้ผลิตรถยนต์อาจใช้กลยุทธ์การเพิ่มยอดขายด้วยวิธีอื่นนอกเหนือจากการลดราคาโดยตรง เช่น การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่ราคาถูกลง หรือ ให้โปรโมชั่นหรือสินเชื่อที่จูงใจ
บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า นโยบายการแก้ปัญหา Anti-Involution จะเป็นปัจจัยหนุนโมเมนตัมเชิงบวกให้กับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม EV ในระยะสั้น จากความคาดหวังว่าสงครามราคาจะลดความรุนแรงลง แต่ราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน จำเป็นที่จะต้องเห็นอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ผลิตรถยนต์ฟื้นตัวดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดหลังการใช้นโยบาย Anti-Involution
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่องในปี 2025
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากนโยบายสนับสนุนการเปลี่ยนรถใหม่ (Trade-in Subsidies) และการยกเว้นภาษีซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่ได้รับการต่ออายุจนถึงสิ้นปี 2025 ซึ่งเห็นได้จากจำนวนการยื่นขอใช้สิทธิโครงการนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ (Auto Trade-in Application) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเติบโตสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยยอดขายรถยนต์ Battery Electric Vehicles (BEV) ในเดือน มิ.ย. เติบโต 31.8%YoY และรถยนต์ Plug-in Hybrid Vehicles (PHEV) เติบโต 15.8%YoY
ในปี 2025 ยุโรปได้เริ่มใช้มาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซ CO2 ที่เข้มงวดขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซ CO2 ของรถยนต์ใหม่ลง 15% เมื่อเทียบกับค่าที่วัดในปี 2021 ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์จำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น จึงเป็นแรงหนุนให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปฟื้นตัวขึ้น สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ Battery Electric Vehicles (BEV) ในเดือน มิ.ย. เติบโต 15.5%YoY และรถยนต์ Plug-in Hybrid Vehicles (PHEV) เติบโต 44.9%YoY (Fig.5)
ผู้บริโภคสนใจหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ยอดขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน (ICE) มีแนวโน้มหดตัวลง สวนทางกับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับอัตราการเจาะตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า (Penetration Rate) ในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นเป็น 34% (+5pp YoY , +2pp MoM) นำโดยการเติบโตในจีน และยุโรป สะท้อนถึงผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจาก
1. ต้นทุนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนลดลง ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลง
ราคาแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในปี 2024 ลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (Fig.8) และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกำลังการผลิตแบตเตอรี่ที่มากเกินไป, มีการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น, ราคาวัตถุดิบและชิ้นส่วนลดลง และการเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนฟอสเฟต (LFP) ซึ่งมีราคาถูกมากขึ้น ทำให้ต้นทุนรวมของรถยนต์ไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
2. ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟฟ้าถูกกว่าการใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงโดยเปรียบเทียบ
ในปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้าจากที่บ้าน และการชาร์จไฟในสถานีชาร์จแบบ Slow Charging ยังคงมีราคาถูกกว่าการใช้น้ำมันเบนซินในประเทศจีน, สหรัฐฯ และยุโรป (Fig.9) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ส่องปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ EV
กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ แนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังยังสดใส จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่
BYD: ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มแบรนด์รถหรูที่ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ที่ 10 ล้านคัน รวมทั้งมีแผนเปิดตัวโมเดลรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่อีกหลายรุ่นในช่วงครึ่งหลังของปี ในขณะที่บริษัทเตรียมขยายช่องทางการขายในยุโรปและละตินอเมริกา พร้อมการผลิตแบบ Localized เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าและเพิ่มผลกำไร
XPeng: เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น P7i ในเดือนส.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มยอดขายกลุ่ม SUV เป็นสองเท่าในครึ่งปีหลัง โดย Xpeng ตั้งเป้าปรับปรุงอัตรากำไรให้ดีขึ้นในไตรมาส 3 และตั้งเป้า Break-even ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
Li Auto: มุ่งขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า BEV ด้วยโมเดลใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ รถ SUV รุ่น i8 เป็นรุ่นพรีเมียมแบบ 6-7 ที่นั่ง ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือน ก.ค. โดยมียอด Pre-order ค่อนข้างสูง ตามมาด้วยรถ SUV รุ่น i6 ขนาดกลางแบบ 5 ที่นั่ง ซึ่งจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. โดยรถทั้ง 2 รุ่น คาดว่าจะมีความสำคัญอย่างมากต่อการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัท
Geely Auto: ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Geely มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากรถรุ่น Starshine 8 (PHEV) ที่ทำผลงานดีกว่าคู่แข่ง และยังมีรุ่น Galaxy A7 sedan และ M9 SUV ที่กำลังจะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง เพื่อเสริมสายผลิตภัณฑ์ (Product Line) และขยายฐานตลาด
สำหรับกลุ่มผู้ผลิตแบตเตอรี่ ความต้องการใช้รถ EV ที่เพิ่มสูงขึ้น ช่วยหนุนยอดขายให้เติบโต แม้ว่า CATL กำลังเผชิญกับความท้าทายในเรื่องราคาของแบตเตอรี่ที่ลดลง, มาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ และการถูกบรรจุอยู่ในบัญชีดำของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แต่ผลประกอบการในไตรมาส 2/25 ยังคงเติบโตสูงกว่าตลาดคาด โดยได้แรงหนุนจากยอดขายแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ที่แข็งแกร่ง และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง จากอัตราการเจาะตลาดของรถยนต์ไฟฟ้า (Penetration) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป ที่บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในยุโรปได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งบริษัทมีการเพิ่มธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มช่วงล่าง (Chassis) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถช่วยผู้ผลิตรถยนต์เร่งกระบวนการพัฒนายานยนต์ของตนได้เร็ว
การประเมินมูลค่าเชิงพื้นฐานของหุ้น Top 10 Holdings อยู่ในระดับน่าสนใจ
คาดการณ์รายได้ของบริษัทใน Top 10 Holdings ของ KARS ETF (ข้อมูล ณ 1 ส.ค. 2025) ส่วนใหญ่เติบโตสูงระดับเลข 2 หลัก ทั้งในปีนี้และปีหน้า รวมทั้ง การประเมิน Valuation ของหุ้นผ่าน 12M Forward EV/Sales ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI และด้วยรายได้ของกลุ่มหุ้น EV ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับระดับ EV/Sales ratio ที่ไม่แพง บลจ.ไทยพาณิชบ์ มองว่า หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาว
คำแนะนำเชิงกลยุทธ์
บลจ.ไทยพาณิชย์ มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเมินว่า ปัจจัยเสี่ยงในเรื่องมาตรการภาษีนำเข้าได้สะท้อนไปในราคาหุ้น และตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว รวมถึง ปัจจัยมหภาค เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย, เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ช่วยให้ความต้องการซื้อรถยนต์ EV ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง ประกอบกับคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ EV ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ยังเติบโตได้ดี และเมื่อมีปัจจัยหนุนใหม่ในเรื่องการควบคุมสงครามราคาในจีนเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มเติม
เพราะฉะนั้น คาดว่า กลุ่มอุตสาหกรรม EV ยังคงมีโมเมนตัมเชิงบวกให้ปรับตัวขึ้นต่อได้ อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นราคาหุ้นในกลุ่ม EV อาจมีความผันผวนสูงขึ้นในช่วงรายงานผลประกอบการ ไตรมาส 2/25 ในเดือน ส.ค. ซึ่งมองเป็นโอกาสทยอยสะสม
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาหุ้นกลุ่ม EV อยู่ในระดับค่อนข้างสูง เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง และต้นทุนวัตถุดิบที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ซึ่งมีความผันผวนในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้อัตราการทำกำไรของกลุ่มหุ้น EV มีความผันผวนสูงเช่นเดียวกัน และ EV เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย เพราะฉะนั้น การลงทุนในหุ้นอุตสาหกรรมนี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง
ที่มา : บลจ.ไทยพาณิชย์ ข้อมูล ณ 8 ส.ค.2568