ศรีจันทร์ จากร้านยาเล็ก ๆ สู่แบรนด์ความงาม “พันล้าน” กับก้าวต่อไป “โกลบอลแบรนด์”
เรื่องราวของ ศรีจันทร์ ไม่ใช่แค่ตำนานของ "แป้งม่วง" ที่คนไทยคุ้นเคย แต่คือมหากาพย์แห่งการเปลี่ยนแปลงภายใต้การนำของ ทายาทรุ่นที่ 3 ไม้ต่อมือ 2 "รวิศ หาญอุตสาหะ" ที่เข้ามารับไม้ต่อจากคุณปู่ พลิกร้านขายยาเล็กๆ สู่แบรนด์เครื่องสำอางตัวตึงของวงการ กับยอดขาย 4 ปีย้อนหลัง 1,600 ล้านบาท และกำลังก้าวไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการพิชิตตลาดโลก
รวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เล่าย้อนว่ายุคสมัยของ "ศรีจันทร์" ถูกเปลี่ยนผ่านถึง 3 ยุคสำคัญๆ คือ
ยุคที่ 1: จุดเริ่มต้นจากร้านขายยาของคุณปู่
ศรีจันทร์เริ่มต้นจากร้านขายยาเล็ก ๆ ของคุณปู่ เป็นรากฐานของธุรกิจที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษ
ยุคที่ 2: การค้นพบตัวตนและรีแบรนด์ครั้งใหญ่
เมื่อทายาทรุ่นที่ 3 อย่าง "รวิศ หาญอุตสาหะ" เข้ามารับช่วงต่อในช่วงที่คุณปู่อายุ 85 ปี คือจุดเริ่มต้นของยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โจทย์ใหญ่คือการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ เพื่อก้าวจากร้านขายยาสู่สมรภูมิความงาม การค้นพบที่สำคัญคือศักยภาพของ "ผงหอมศรีจันทร์" ซึ่งเดิมใช้รักษาสิว ว่าสามารถต่อยอดสู่ตลาดแป้งฝุ่นได้ นี่เองคือจุดกำเนิดที่ทำให้ ศรีจันทร์ก้าวเข้าสู่ตลาดแป้งฝุ่นอย่างเต็มตัว และเพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยและเข้ากับยุคสมัย จึงมีการ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ในปี 2010 ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ ศรีจันทร์เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น
ยุคที่ 3: บทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด
วิกฤตการณ์โควิด-19 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สร้างความยากลำบากให้กับธุรกิจทั่วโลก รวมถึง ศรีจันทร์ที่พึ่งพายอดขายจากช่องทางการขายบนห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก บวกกับความต้องการเครื่องสำอางของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างมากในช่วงที่ต้องอยู่บ้าน ได้รับผลกระทบอย่างจัง ในช่วงเวลานั้น รวิศ หันกลับมาสำรวจและจัดระเบียบศรีจันทร์ อย่างจริงจัง โดยให้ความสำคัญกับ 4 กลุ่มบุคคลสำคัญ ที่เป็นหัวใจขององค์กรคือ
- ผู้ถือหุ้น: สร้างความเชื่อมั่นและขอใช้เงินลงทุนเพื่อความอยู่รอดและการพัฒนาองค์กร
- พนักงาน: จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกป้องกันโควิด-19 และรับประกันว่าจะไม่มีการเลิกจ้างหรือลดเงินเดือน (ยกเว้นผู้บริหารระดับสูง)
- ลูกค้า: ส่งผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้ากว่า 5,000 คน เพื่อสร้างความสัมพันธ์และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม
- สังคมรอบข้าง: จัดโครงการ "ศรีจันทร์ปันเพื่อนบ้าน" โดยสั่งซื้อข้าวสารอาหารแห้งจาก SME ทั่วประเทศ เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนรอบ ๆ ออฟฟิศทุกวัน
แตกไลน์ “ศศิ” เจาะตลาดวัยรุ่น สร้างนิยามใหม่ให้ Beauty Beginner
นอกจากนี้ "รวิศ" ยังได้สร้างแบรนด์น้องสาวอย่าง "ศศิ" (Sasi) ขึ้นมา โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่ม Beauty Beginner โดยใช้อินไซต์ความต้องการของวัยรุ่นใน 3 มิติภายใต้ภาพลักษณ์เด็ก วัยรุ่น สดใสและแฟชั่น คือ
- Multi-use Product ใช้ได้หลากหลาย เช่น ลิปสติกที่สามารถทาได้ทั้งตา แก้ม และปาก
- ผลิตภัณฑ์ที่จัดการเรื่องสิวที่เป็น เพนพอยต์ ของวัยรุ่นโดยเฉพาะ
- Fashion & Trendy สีสันของผลิตภัณฑ์ แพ็กเกจจิง รูปแบบการนำเสนอที่ทันกระแสความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น ทำให้ภาพลักษณ์ของ ศศิ มีความเด็กและแฟชั่น
ศรีจันทร์: ยอดขายทะลุ 1,600 ล้านบาท
การปรับตัวอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤต ทำให้ศรีจันทร์ไม่ได้มีเพียงแค่แป้งฝุ่น แต่ยังขยายพอร์ตสินค้าสู่กลุ่ม สกินแคร์, กลุ่ม Color-based Makeup (เช่น รองพื้น, คุชชั่น) และกลุ่ม กันแดด ทั้งสามกลุ่มนี้มีการเติบโตสูงกว่าตลาด นอกจากนี้: "แป้งม่วง" ของศรีจันทร์ ยังคงครอง Market Share อันดับ 1 ในตลาดแป้งฝุ่น ขณะที่ ครีมซอง มียอดขายอันดับ 1 ในหมวด Skin Care และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับกลุ่ม Skincare ของ ศรีจันทร์ อย่างมาก
ซึ่งไม่เพียงทำให้ ศรีจันทร์รอดพ้นมาได้ แต่ยังประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2021-2024 จากการเติบโตของสกินแคร์ถึง 117% และตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขาย 45% และปิดยอดขายทั้งปี 2024 ที่ 1,600 ล้านบาท เติบโต 58.98% และในปีนี้ตั้งเป้าโต 30% - 40% จากช่องทางการจำหน่ายออฟไลน์ 90% และออนไลน์ 10%
จากความอยู่รอด สู่แบรนด์ที่มีจุดยืน
เรื่องราวของ "ศรีจันทร์" ในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการก้าวข้ามจากแบรนด์ที่เน้นการทำยอดขาย สู่การเป็น Purposeful Brand หรือแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ชัดเจน ซึ่งผู้บริหารรุ่นที่ 3 ได้สะท้อนถึงเส้นทางที่ผ่านมาว่า
"ช่วงที่เข้ามาทำงานแรกๆ เป็นการทำงานเพื่อเอาชีวิตรอด คือการทำให้ธุรกิจรอดก่อน และไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการทำให้ธุรกิจใหญ่ขึ้น แต่พอทำธุรกิจไปเรื่อยๆ ก็อยากทำมากกว่านั้น เราอยากเป็นแบรนด์ที่คนไทยภาคภูมิใจ"
และการเดินทางของ "ศรีจันทร์" สู่เวทีโลก
ปัจจุบันภายใต้การนำของ รวิศ ศรีจันทร์ ได้บุกเบิกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศลาว จากการที่เข้าไปทำกิจกรรมการตลาดอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ อินฟลูเอนเซอร์ คนดังของลาว หรือการให้การสนับสนุนกิจกรรมสำคัญๆ อย่าง Miss Universe ลาว และ ลาวแฟชั่นวีค
"ตลาดลาวน่าสนใจมาก คนลาวดูสื่อของประเทศไทยเยอะมากและเป็นประเทศที่กำลังเติบโต"
นอกจากนี้ ศรีจันทร์ยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศญี่ปุ่น ด้วยการเป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยแบรนด์แรกที่ได้ร่วมมือกับ "บันได" (Bandai) บริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ในการทำ "กาชาปอง" ซึ่งมีวางจำหน่ายในญี่ปุ่น สร้างความฮือฮาและเป็นที่จดจำ
"ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีสัญญาณดีของการเติบโตในอนาคต ปัจจุบันเรามีร้านจำหน่ายสินค้าของศรีจันทร์ในประเทศออฟไลน์ประมาณ 2,000 ร้านค้า"
สิ่งนี้ตอกย้ำถึงการยอมรับของแบรนด์ไทยในตลาดโลก โดยกลยุทธ์สำคัญที่ศรีจันทร์ใช้ในการบุกตลาดโลกคือการ มองหา Partner ในต่างประเทศ เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือการ สร้างแบรนด์ ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกของคนในพื้นที่
"ไทยบิวตี้" เทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงความภาคภูมิใจของ Made in Thailand
"เราเชื่อว่าวันนี้เราสามารถยืนหยัดแข่งขันได้ทั้งในเรื่องของ Product Branding คุณภาพ และฐานการผลิต" ผู้บริหารกล่าวอย่างมั่นใจและพร้อมที่จะเป็นผู้นำพา "เทรนด์ไทยบิวตี้" ไปสู่เวทีโลก และเสริมว่า "เรารู้สึกว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่แบรนด์ไทยกำลังมาแล้วรู้สึกได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และสินค้า Made in Thailand ในตลาดเอเชียเป็นที่ยอมรับอย่างมาก"
สิ่งที่น่าสนใจคืออิทธิพลของ Soft Power ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ซีรีส์ไทย ที่โด่งดังในต่างประเทศ ได้ส่งออก "วิธีการแต่งหน้า" ของคนไทย จนกระทั่งในญี่ปุ่นเกิดเทรนด์ "สุวาอิ เมคุ" ซึ่งหมายถึง "การแต่งหน้าแบบไทย" นี่คือข้อพิสูจน์ว่าความงามแบบไทยกำลังเป็นที่จับตาและได้รับความนิยมในระดับสากล
ทศวรรษทองของศรีจันทร์ และอุตสาหกรรมความงามไทย
ผู้บริหารทิ้งท้ายถึงอนาคตที่สดใสของศรีจันทร์ ว่า "เชื่อว่าทศวรรษต่อจากนี้ของศรีจันทร์จะเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก “เราจะขยายทุกมิติ”
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมไทยและเทรนด์ ไทยบิวตี้ ก็พร้อมแล้วเช่นเดียวกัน เพราะคนในประเทศให้การยอมรับมากขึ้น Soft Power ของไทยที่กำลังพยายามผลักดันกันอยู่เริ่มออกดอกออกผลไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ไทย รวมถึงความพร้อมที่เราเป็นฐานผลิตค่อนข้างใหญ่ การจะดันเครื่องสำอางไทยไปสู่ตลาดโลกไม่ใช่เรื่องเกินฝัน"
การเดินทางของ ศรีจันทร์จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวของแบรนด์เครื่องสำอาง แต่คือการสะท้อนถึงความมุ่งมั่น ศักยภาพ และความภาคภูมิใจของ "ความเป็นไทย" ที่กำลังจะก้าวไปสร้างชื่อเสียงในระดับโลก