กองทัพภาค 4 จับแล้ว 5 เร่งล่า 2 หัวโจก แฉเครือข่ายวางบึ้มกว่า 20
จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดพังงา สามารถจับกุมคนร้าย 2 ราย คือ นายมูหามะ วาเด็ง และ นายสุไลมาน กาซา ชาว จ.ปัตตานี พร้อมวัตถุระเบิดแสวงเครื่องจำนวนหนึ่งได้ที่บริเวณแยกบายพาสหน้าศาลากลางจังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 68 เวลา 03.30 น. ต่อมา ตำรวจภูธรภาค 8 ได้ส่งตัวคนร้ายทั้ง 2 ราย ให้แก่ตำรวจภูธรภาค 9 เพื่อดำเนินการซักถามขยายผล เนื่องจากพฤติการณ์ของคนร้ายทั้ง 2 ราย มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับการก่อเหตุในพื้นที่ จชต.
จากการพิจารณาประกอบผลการซักถาม สรุปได้ว่า วัตถุระเบิดที่ตรวจยึดได้พร้อมกับคนร้ายมีวงจรระเบิด ซึ่งปรากฏใช้งานในพื้นที่ จชต. มาแล้วหลายครั้ง จึงพิจารณาได้ว่าการก่อเหตุในครั้งนี้เป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการ BRN โดยทำการประกอบระเบิดขนาดเล็ก จากนั้นทยอยลำเลียงเข้าพื้นที่ผ่านเส้นทางหลักและเส้นทางรองตามปกติ โดยใช้แนวร่วมซึ่งไม่มีประวัติหรือไม่มีหมายจับ เพื่อให้ง่ายต่อการผ่านจุดตรวจตามเส้นทาง และจากการซักถามเพิ่มเติมทราบว่า กลุ่มคนร้ายได้เดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประชุมวางแผนและรับคำสั่งในการก่อเหตุ จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้ ห้วงที่ 1 วันที่ 18-19 ธ.ค.67 ห้วงที่ 2 วันที่ 13-14 ม.ค.68 และ ห้วงที่ 3 วันที่ 23-24 เม.ย.68
โดยมี นายเตาฟิต และนายไซฟุดดิน หะยีปูเต๊ะ เป็นผู้สั่งการ และมีผู้ให้การสนับสนุน 14 ราย แบ่งออกเป็น ผู้จัดซื้อและสั่งรถลงมาจากกรุงเทพมหานคร 3 ราย ผู้รับรถที่จัดซื้อ 5 ราย ผู้ส่งรถให้ผู้ก่อเหตุ 4 ราย และ ผู้ขับรถรับ-ส่ง ผู้ก่อเหตุ 2 ราย
จากผลการซักถาม จุดที่วางระเบิด 11 จุด มีระเบิดทั้งหมดรวม 15 ลูก แบ่งเป็น จ.กระบี่ 4 จุด 5 ลูก จ.พังงา 1 จุด 1 ลูก จ.ภูเก็ต 6 จุด 6 ลูก และ ถูกจับกุมพร้อมคนร้าย 1 ลูก ปัจจุบันสามารถเก็บกู้ได้ทั้งหมด สำหรับคนร้าย สามารถจับกุมได้ 5 ราย เป็นผู้ก่อเหตุ 2 ราย และผู้ให้การสนับสนุน 3 ราย สรุป คนร้ายที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ แบ่งเป็น ผู้สั่งการ 2 ราย ผู้สนับสนุน 14 ราย และผู้ก่อเหตุ 4 ราย จับกุมได้แล้ว 5 ราย
สำหรับมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้คาดว่า กลุ่มขบวนการ BRN พยายามกดดันรัฐบาลให้เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการเจรจา ซึ่งการก่อเหตุนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงเป็นยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญของขบวนการ BRN โดยที่ผ่านมาได้เคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง และจากวัตถุพยานที่ตรวจยึดได้ พิจารณาได้ว่าการกระทำในครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เนื่องจากเป็นระเบิดขนาดเล็ก อานุภาพการทำลายไม่ร้ายแรง และไม่มีชิ้นส่วนสังหาร โดยมุ่งหวังเพียงสื่อภาพความรุนแรงออกสู่สาธารณชนเท่านั้น เนื่องจากคนร้ายมุ่งเน้นวางระเบิดในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว สนามบิน และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ เช่น หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นหลัก
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ มทภ.4 / ผอ.รมน.ภาค 4 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงก่อเหตุนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวทางแบ่งพื้นที่ปฏิบัติออกเป็น 3 พื้นที่ ประกอบด้วย
พื้นที่ตามแนวชายแดน โดยเขตติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ด้านจังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส มอบหมายให้ หน่วยเฉพาะกิจยะลา, หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และ หน่วยเฉพาะกิจ นาวิกโยธินกองทัพเรือ ร่วมกับ กองบังคับการควบคุมสุริโยทัย เป็นหน่วยรับผิดชอบ ปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นชายแดน ประจำปี 2568 ด้านจังหวัดสงขลา มอบหมายให้ หน่วยเฉพาะกิจสงขลา ประสานการปฏิบัติกับ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบ ปฏิบัติตามคำสั่งป้องกันชายแดน ประจำปี 2568 ของกองกำลังเทพสตรี
พื้นที่รักษาความมั่นคงภายใน ประกอบด้วย
พื้นที่ป่าภูเขาและหมู่บ้านเชิงเขา มอบหมายให้ หน่วยเฉพาะกิจจังหวัด โดยชุดปฏิบัติการป่าภูเขา ของหน่วยเฉพาะกิจประจำพื้นที่ และ หมวดลาดตระเวนระยะไกลป่าภูเขา เข้าปฏิบัติการในพื้นที่
พื้นที่ตอนในเขตหมู่บ้าน/ชุมชน, เขตเทศบาล และเมืองเศรษฐกิจ มอบหมายให้ หน่วยเฉพาะกิจจังหวัด บูรณาการกำลังทุกประเภท เข้าปฏิบัติการในพื้นที่
นอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบ ตรวจสอบตามเส้นทางรถยนต์ และเส้นทางรถไฟ
ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โทร. 06-1173-2999 หรือเบอร์สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 สน. 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งขอเรียนให้ทราบว่าผู้ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การนำพาซ่อนเร้น การให้การสนับสนุนที่พักพิง หรือการสนับสนุนเสบียงอาหาร จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.