SUPERMAN (2025) หนังซูเปอร์ฮีโร่สีลูกกวาดฉบับมนุษย์นิยม
ใครที่เคยดูหนังชุดทางโทรทัศน์เรื่อง Superman ทั้งในแบบคนจริงๆ แสดง ซึ่งออกอากาศในช่วงทศวรรษ 1950 และหนังการ์ตูนในช่วงทศวรรษ 1960 (ทั้งสองสามารถย้อนดูได้ในโลกออนไลน์) คงสังเกตเห็นว่าทุกๆ ตอนจะต้องเริ่มต้นด้วยฉากไตเติ้ลสั้นๆ ที่มาพร้อมกับเสียงบรรยายสรรพคุณของบุรุษเหล็กผู้ซึ่งสวมใส่ผ้าคลุมไหล่สีแดง ทำนองว่า เขาวิ่งได้รวดเร็วยิ่งกว่าลูกกระสุนปืน ทรงพลังยิ่งกว่าหัวรถจักรไอน้ำ กระโดดครั้งเดียวก็ข้ามตึกสูงได้ง่ายดาย จากนั้น ภาพก็ตัดไปที่ฝูงชนมองบนท้องฟ้า และตามด้วยประโยคที่กลายเป็นสโลแกนของหนังโทรทัศน์เรื่อง The Adventures of Superman
“นั่นนกเหรอ, ไม่ใช่…นั่นเครื่องบิน, ไม่ใช่…นั่นซูเปอร์แมน”
ในความทรงจำที่แสนเลือนราง (จากการที่หนังชุดนี้มาฉายซ้ำตอนเด็ก) ความน่าสนุกของมันก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน นั่นคือการได้เห็นพลังอำนาจที่แสนวิเศษของซูเปอร์แมน ทั้งการเหาะเหินเดินอากาศ ความแข็งแกร่งปานภูผา กระสุนปืนไม่แม้กระทั่งทำให้ชุดที่สวมใส่เป็นรู แล้วพละกำลังมหาศาลของเขาก็ช่างน่าทึ่งจริงๆ และดูเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรที่จะทำให้ซูเปอร์ฮีโร่หุ่นล่ำบึ้กแต่กลับใส่เสื้อไซซ์ S คนนี้หวั่นไหวสะทกสะท้าน หรือถ้ามองย้อนกลับไป นอกจากซูเปอร์แมนจะเป็นตัวละครที่ไม่มีมิติแล้ว หนังโทรทัศน์ชุดนี้ก็ยังมุ่งเฉลิมฉลองความ ‘ไม่ใช่มนุษย์’ ของบุคลิกนี้อย่างไม่ปิดบังอำพราง
Superman ฉบับปี 1978 ของ Richard Donner และรวมถึงภาคต่อมาในปี 1980 ถือเป็นหนังสองเรื่องแรกที่ชี้ชวนให้คนดูได้เห็นด้านที่เปราะบางอ่อนไหว รู้สึกรู้สาของตัวละคร ทั้งการรับมือกับความสูญเสียซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนของการต้องปิดบังอัตลักษณ์ของตัวเอง การต้องเลือกระหว่างหน้าที่ความรับผิดชอบกับความปรารถนาส่วนตัว และถ้าเราจะแกล้งทำเป็นลืมภาคสามและสี่ไปสักพัก (ซึ่งสมควรถูกลืมจริงๆ) หนังแทบทุกเรื่องของแฟรนไชส์นี้นับจากนั้นก็ชักชวนคนดูสอดส่องความเป็นมนุษย์ของ ‘เอเลี่ยน’ รายนี้ในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป
หรือพูดอย่างรวบรัด ปัญหาหนักอึ้งของซูเปอร์แมนหลายครั้ง ไม่ใช่การเผชิญหน้าทางกายภาพกับเหล่าร้ายที่ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน เจ้าตัวก็มักจะกำราบในตอนท้ายได้เสมอ หากได้แก่การต่อสู้กับบรรดาคลื่นลมที่ปั่นป่วนและโหมกระหน่ำอยู่ในจิตใจของตัวละคร ทั้งความเจ็บปวดขื่นขมจากความสัมพันธ์ที่จบสิ้น (Superman Returns) หรือการเผชิญกับภาวะเก็บกด หดหู่และซึมเศร้าจากการมีสถานะเป็นคนนอกตลอดเวลา (Man of Steel, Batman v Superman) หรือการเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับอำนาจอันใหญ่ยิ่งในลักษณะคล้ายกับสไปเดอร์แมน (Smallville)
กล่าวสำหรับซูเปอร์แมนคนล่าสุดจาก Superman (2025) ของ James Gunn ปมขัดแย้งข้างในของตัวละครอาจจะไม่ได้หม่นมืด หรือหนักอึ้งเมื่อเทียบกับซูเปอร์แมนจาก Man of Steel แต่การเลือกปมเรื่องมาบอกเล่า ก็ช่วยขยับขยายให้คนดูมองเห็นตัวละครนี้ในฐานะ ‘มนุษย์มนา’ ที่มีทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง โง่เขลาและฉลาดเฉลียว ด้านมืดและด้านสว่างปะปน และในแง่หนึ่ง มันเชื่อมโยงเข้ากับโลกความเป็นจริงได้อย่างแนบเนียน ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
ไม่ว่าจะอย่างไร ส่วนที่นับเป็นการวางกรอบเรื่องที่เฉียบแหลมคมคายของ James Gunn ซึ่งควบหน้าที่เขียนบทด้วย และมันดึงดูดให้คนดูจดจ่อกับสิ่งที่โลดแล่นเบื้องหน้าได้อยู่หมัดตั้งแต่นาทีแรก คือการจับพวกเราโยนเข้าไปในหนังที่ดำเนินเนื้อหาอยู่ก่อนแล้ว ข้อสำคัญ ในฐานะหนังรีบูตซึ่งต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง มันไม่ยอมเสียเวลาอารัมภบทเหมือนฉบับปี 1978 หรือ Man of Steel และเนื้อหาที่คนดูสรุปได้ในยี่สิบนาทีแรกก็คือ ซูเปอร์แมน (David Corenswet) เดินทางมาโลกนี้ตั้งแต่ยังเป็นทารก, ตอนนี้เขาอายุราวสามสิบปี, สามปีที่แล้วเขาเปิดตัวในฐานะยอดมนุษย์ผู้ผดุงความยุติธรรมของชาวโลกและมีผู้ติดตามในสื่อสังคมออนไลน์มหาศาล, Lex Luthor (Nicholas Hoult) ประกาศตนเป็นศัตรูตัวฉกาจของซูเปอร์แมน, เหนืออื่นใด ระหว่างเขากับ Lois Lane (Rachel Brosnahan) เพื่อนร่วมงานที่หนังสือพิมพ์เดลี่แพลเน็ต คบหาดูใจกันอย่างลับๆ มาสามเดือน และฝ่ายหลังรับรู้ด้วยว่า Clark Kent กับซูเปอร์แมนคือคนๆ เดียวกัน
ไหนๆ ก็ไหนๆ เรื่องยุ่งยากล่าสุดของซูเปอร์แมนได้แก่การที่เขาถือวิสาสะบุกเดี่ยวไปยังประเทศสมมติที่ชื่อ Boravia เพื่อยับยั้งการฆ่าแกงประชาชนผู้บริสุทธิ์ของประเทศเพื่อนบ้านที่ชื่อ Jarhanpur (ฟังดูคล้ายๆ ปมขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน หรืออิสราเอล-ปาเลสไตน์มากๆ) และอย่างที่คาดเดาได้ไม่ยาก เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมกับระบบระเบียบการเมืองโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉากที่ Lois Lane สัมภาษณ์ Superman ถึงกรณีละเมิดอธิปไตยดังกล่าวช่วงราวครึ่งชั่วโมงแรก ชี้ชวนให้คนดูได้มองเห็นทั้งความเชื่อ อุดมการณ์ บุคลิกตัวละคร ตลอดจนวุฒิภาวะของชายชุดน้ำเงินผู้สวมใส่กางเกงในสีแดงได้อย่างน่าสนใจทีเดียว มันเริ่มต้นจากคำถามที่หญิงสาวยิงเปรี้ยงแบบไม่ถนอมความรู้สึกของผู้ให้สัมภาษณ์ซึ่งมีสถานะคนรักพ่วงอยู่ด้วย นั่นก็คือ เขาผู้ซึ่งเป็นคนนอก (หรือจริงๆ แล้วเอเลียน) และไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีสิทธิ์อะไรไปแทรกแซงกิจการของประเทศอื่น และจะว่าไปแล้ว วิธีการของซูเปอร์แมนที่จับผู้นำจอมเผด็จการของ Boravia แขวนไว้กับต้นตะบองเพชร และข่มขู่ไม่ให้เขารังแกเพื่อนบ้าน ก็ไม่ได้ทำให้เขาวิเศษหรือสูงส่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด
น่าสังเกตว่าข้อโต้แย้งในเบื้องต้นของซูเปอร์แมนผู้ซึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาลมากขึ้นเรื่อยๆ ฟังดูเหมือนคนอ่อนหัด ไร้เดียงสา และไม่เข้าใจหลักภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน เขาบอกว่าความมุ่งหมายก็เพื่อยับยั้งสงคราม ปกป้องผู้คนจากความบาดเจ็บล้มตาย อีกทั้งเขายังโพล่งอย่างไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังอีกด้วยว่า เขาไม่ได้ลงมือในนามของใครเลยนอกจากตัวเองที่ต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
แต่มองในอีกแง่หนึ่ง บทสนทนาที่เผ็ดร้อนก็บอกโดยอ้อมถึงความอึดอัดคับข้องของซูเปอร์แมนผู้ซึ่งมองเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิดอย่างทนโท่ แต่กลับไม่มีใครเทกแอ็กชันเพราะความบิดเบี้ยว ความงุ่มง่ามของระบบและกติกา และการลงมือโดยพลการของเขาก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์และความศรัทธาอันแรงกล้ามากกว่าจะเป็นการบูลลีแบบอันธพาล แต่จนแล้วจนรอด ข้อกล่าวหาเรื่องการตั้งตนเป็นศาลเตี้ยของซูเปอร์แมนก็ยังคงเป็นประเด็นที่เถียงไม่ขึ้น ฉากนี้ลงเอยด้วยพระเอกของเราเดินออกจากห้องพักนางเอกอย่างเงียบเชียบ ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันน่าจะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่พระเอกของเราบอบช้ำทางจิตใจมากที่สุด (แน่นอนว่ายิ่งกว่าความบอบช้ำทางร่างกาย) ส่วนหนึ่งเพราะมองเห็นจะแจ้งว่าคนรักไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับเขา และข้อสำคัญ นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดหวังจากทั้งหมดทั้งมวลที่เขาอุทิศทุ่มเท
ต้องปรบมือดังๆ ให้กับการออกแบบตัวละครของ James Gunn ที่ทำให้ซูเปอร์แมนดูเป็นปุถุชนคนธรรมดา และความแข็งแกร่งทางกายภาพก็เป็นเรื่องปลีกย่อยไปโดยปริยาย หรือว่ากันตามจริง นี่เป็นคาแร็กเตอร์ที่นอกจากไม่นิ่ง ซูเปอร์แมน/Clark Kent ยังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างรูปตามประสาคนหนุ่มวัยสามสิบปี และความอ่อนด้อยประสบการณ์ ความไม่หนักแน่น ตลอดจนความล้มเหลวผิดพลาด ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แจ้ง (ความพ่ายแพ้จากการต่อสู้ครั้งแรกของตัวละครในฉากเปิดเรื่อง การไปแทรกแซงเรื่องชาวบ้านโดยที่ประเมินผลสืบเนื่องน้อยเกินไป จนถึงความสัมพันธ์กับ Lois Lane ที่ลุ่มๆ ดอนๆ) ก็นับเป็นรสชาติชีวิตที่ขมขื่นสำหรับคนหนุ่มผู้ซึ่งต้องเรียนรู้และเติบโต
แต่ก็นั่นแหละ ค่าเริ่มต้นของซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นนี้ก็ชวนให้นึกถึงหนังปี 1978 ที่ Christopher Reeve นำแสดง ถ้าจะเทียบเคียง ตัวละครสองคนนี้คล้ายกันตรงที่พวกเขามองโลกในแง่ดี ซึ่งเป็นคนละความหมายกับโลกสวย และเพิกเฉยความเป็นจริง ทว่าความท้าทายสำหรับซูเปอร์แมนของ David Corenswet ก็ตรงที่โลกในหนังของเขาไม่ได้สะอาดสะอ้านหรือดูเรียบง่ายเหมือนกับของ Reeve ข้อสำคัญ อำนาจเหนือมนุษย์ของเขาก็ไม่ใช่แต้มต่อที่แท้จริง และข้อคิดล้ำค่าสำหรับซูเปอร์แมนฉบับ Corenswet ก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวเอ่ยในตอนท้ายเรื่อง นั่นคือการได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ที่สลับซับซ้อน อ่อนไหวเปราะบาง ทว่าไม่ได้ปราศจากความเห็นอกเห็นใจ ไม่ว่าคนดูจะสมาทานกับสิ่งที่หนังนำเสนอหรือไม่ ที่แน่ๆ นี่เป็นซูเปอร์แมนที่เป็นมิตรกับคนดูและสิ่งแวดล้อมที่สุดนับจากหนังคลาสสิกของ Richard Donner
David Corenswet สวมบท ซูเปอร์แมน/Clark Kent ได้อย่างมีเสน่ห์ดึงดูดจริงๆ เขาไม่ได้เป็นเพียงชายหนุ่มรูปหล่อกล้ามใหญ่ที่น่าดูน่าเกรงขาม แต่เราได้เห็นทั้งอารมณ์ขัน ด้านที่เปราะบางอ่อนไหว ความมุ่งมั่นและไม่ยอมท้อถอยของตัวละครแบบเดียวกับที่เราเคยรู้สึกกับการแสดงของ Christopher Reeve และเขาทำให้ซูเปอร์แมนกลายเป็นตัวละครที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ อีกคนหนึ่งก็คือ Rachel Brosnahan ในบทนักข่าวสาว Lois Lane ผู้ซึ่งปฏิสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซูเปอร์แมนอัดแน่นด้วยประจุไฟฟ้า และคนดูไม่อาจละวางสายตา
ขณะที่ตัวหนังเองก็มีบรรยากาศสนุกสนาน สว่างไสว ตลกขบขัน ประสาทเสียตามแบบฉบับของหนัง James Gunn (Guardians of the Galaxy ทั้งสามภาค, the Suicide Squad) แต่ก็นั่นแหละ ความที่หนังมุ่งไปแทบทุกทิศทาง (แอ็กชัน ดราม่า คอเมดี้ ทราจีดี้ ไซไฟ ฯลฯ) ก็ทำให้มันมีปัญหาเรื่องความกลมกล่อมและลงตัว บางช่วงก็ดีมากๆ หนึ่งในนั้นได้แก่ฉากที่พ่อของพระเอกปลอบโยนลูกชายผู้ซึ่งจิตใจของเขาบุบสลายบอบช้ำ นี่เป็นโมเมนต์เงียบเชียบที่ชวนให้ตื้นตัน แต่สำหรับองก์สุดท้ายของหนังที่ซูเปอร์แมนกับ Lex Luthor แลกเปลี่ยนบทสนทนากันยืดยาวกลับดูแข็งกระด้าง และให้ความรู้สึกเหมือนนักอเมริกันฟุตบอลทำลูกหลุดมือในเอนด์โซน
แต่รวมๆ แล้ว ลูกล่อลูกชนที่แพรวพราวของ James Gunn น่าจะช่วยยับยั้งคนดูประเภทที่ต้องเช็กโทรศัพท์มือถือของตัวเองทุกๆ ห้าหรือสิบนาทีในโรงหนังอย่างได้ผลชะงัดทีเดียว และน่าเชื่อว่าระหว่างตัวหนังกับแฟนๆ จักรวาล DC นี่อาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของมิตรภาพที่สดใสงดงาม
SUPERMAN (2025)
กำกับ-James Gunn
ผู้แสดง-David Corenswet, Rachel Brosnahan, Nicholas Hoult, ฯลฯ