‘ฟ้าผ่า’ ใหญ่ที่สุดในโลก ยาวกว่า 800 กม. ตัวการไฟป่าสร้างความเสียหาย
“ฟ้าผ่า” มักพบได้บ่อยในช่วยที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมักจะมองเห็นเป็นสายฟ้าฟาดลงมาเพียงพริบตาเดียว แต่รายงานฉบับใหม่ได้เผยให้เห็นว่า ฟ้าผ่าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 800 กม.
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เผยแพร่ข้อมูล ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยความยาวกว่า 800 ก.ม. ฟ้าผ่าอันน่าพิศวงนี้เกิดขึ้นในด้านตะวันออกของรัฐเท็กซัส แผ่ขยายไปถึงเมืองแคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี ภายในไม่กี่วินาที ระหว่างที่เกิดพายุขนาดใหญ่ในปี 2017 แต่เพิ่งมาตรวจพบในปีนี้
“สถิติใหม่นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงพลังอันน่าทึ่งของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ” แรนดัล เซอร์เวนี ผู้รายงานสภาพอากาศและสภาพภูมิอากาศสุดขั้วของ WMO กล่าวในแถลงการณ์
นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์ฟ้าผ่าขนาดใหญ่เรียกว่า “เมกะแฟลช” (Megaflash) โดยนักวิจัยกำลังศึกษาว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ด้วยการประเมินข้อมูลดาวเทียมใหม่ด้วยวิธีการคำนวณแบบใหม่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุเมกะแฟลชแต่ละลูกในพายุที่ผ่านมาได้ และช่วยให้เข้าใจถึงศักยภาพของฟ้าผ่าและอันตรายที่มันนำมาได้ดีขึ้น
ฟ้าผ่า เป็นการคายประจุไฟฟ้า คล้ายกับไฟฟ้าสถิต เพียงแต่ในระดับที่ใหญ่กว่า เมื่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง อนุภาคน้ำแข็งและน้ำจะชนกันและแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอน ทำให้เกิดการสะสมของประจุไฟฟ้า โดยฟ้าผ่าเกิดขึ้นเมื่อประจุไฟฟ้านั้นแรงเกินกว่าที่ชั้นบรรยากาศจะยึดเกาะได้ และคายประจุออกมาเป็นสายฟ้าผ่านเมฆหรือลงสู่พื้นดิน
ฟ้าผ่าส่วนใหญ่จะเกิดอยู่ภายในรัศมี 16 กม. จากพายุที่มันกำเนิด และเมื่อฟ้าผ่าเดินทางไกลกว่า 96 กม. จะถือว่าเป็นเมกะแฟลช
ไมเคิล ปีเตอร์สัน นักวิทยาศาสตร์อาวุโสประจำศูนย์วิจัยพายุรุนแรง สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย และเป็นหัวหน้าทีมวิจัยรายงาน กล่าวว่า เมกะแฟลชมักจะก่อตัวขึ้นในบริเวณรอบนอกของระบบพายุ ไม่ใช่บริเวณแกนกลางพายุที่รุนแรง และมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่พายุเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
“เมกะแฟลชในระดับที่รุนแรงเช่นนี้มีมานานแล้ว และตอนนี้สามารถระบุตัวตนได้แล้ว เนื่องจากความสามารถในการตรวจจับและวิธีการประมวลผลข้อมูลของเราได้รับการพัฒนาขึ้น” รายงานระบุ
เมกะแฟลชที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เกิดขึ้นตามรูปแบบเดียวกัน โดยเคลื่อนตัวผ่านชั้นเมฆก้อนใหญ่ที่เคลื่อนตัวตามรอยแนวปะทะอากาศเย็น พาดผ่านที่ราบทางตอนใต้ ซึ่งเมฆก้อนนี้ทอดยาวจากรัฐเท็กซัสไปจนถึงแคนซัสซิตี และก่อตัวเป็นชั้นเมฆตื้น ๆ ที่สามารถนำไฟฟ้าได้ง่าย ทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสม สำหรับการที่ฟ้าผ่าสามารถเคลื่อนที่ในแนวนอนได้เป็นระยะทางหลายร้อยกม.
เมื่อเมกะแฟลชเคลื่อนที่ผ่านเมฆ มันสามารถปล่อยฟ้าผ่าที่กระทบพื้นดินได้หลายลูก “คุณอาจเห็นฟ้าผ่าที่เทียบเท่ากับพายุฝนฟ้าคะนองทั้งลูก ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เมฆจรดพื้นดินในแสงวาบเดียว” ปีเตอร์สันกล่าว
จากข้อมูลดาวเทียมที่ปีเตอร์สันวิเคราะห์ในการศึกษานี้ พบว่ามีพายุฝนฟ้าคะนองน้อยกว่า 1% ที่จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์เมกะแฟลช พายุที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นี้มักมีอายุยืนยาวและมีขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่หลายพันตร.กม.
ปีเตอร์สันกล่าวว่า การขยายตัวดังกล่าวเป็นกุญแจสำคัญ และน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเมกะแฟลช เนื่องจากพายุขนาดเล็กไม่สามารถรองรับการเคลื่อนที่ในแนวนอนได้มากเท่า แต่ประเด็นคือนักวิจัยยังไม่รู้ว่าสภาวะใดที่เอื้อให้เกิดเมกะแฟลช
แม้ว่าเมกะแฟลชจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็มีความอันตรายสูง ฟ้าผ่าที่มีพลังมหาศาล ซึ่งสามารถก่อให้เกิดไฟป่าหรือสร้างความเสียหายได้ไกลจากแกนกลางพายุ ถือเป็นสถานการณ์ฟ้าผ่าที่เลวร้ายที่สุด
“คุณมองไม่เห็นว่าฟ้าผ่ามาจากไหน คุณเห็นแค่ว่ามันตกกระทบที่ใด ขอบเขตของอันตรายและความจริงที่ว่ามันเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจเพื่อความปลอดภัยของประชาชน” ปีเตอร์สันกล่าว
หลายครั้งที่ผู้คนโดนฟ้าผ่า เพราะประเมินระยะทางและระยะเวลาที่จะเกิดฟ้าผ่าน้อยเกินไป ดังนั้นการเกิดเมกะแฟลชจึงแสดงให้เห็นว่าฟ้าผ่าสามารถเกิดได้ไกลถึง 800 กม. แต่เราจะรับรู้ว่าเกิดเมกะแฟลชได้ก็ต่อเมื่อสังเกตการณ์จากข้อมูลจากดาวเทียมเท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ามีแนวโน้มที่จะพบฟ้าผ่าเมกะแฟลชที่ยาวขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีดาวเทียมพัฒนาความสามารถในการตรวจจับฟ้าผ่า