รมว.คลัง แจงแนวทางจ้าง Lobbyist ถกภาษีทรัมป์ แพงแต่จำเป็น ย้ำโปร่งใสแน่
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยถึงการทำงานเจรจากับสหรัฐอเมริกา ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
1. การทำหน้าที่เจรจาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์การเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐ มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายสหรัฐ มีการมอบหมายหัวหน้าเจรจาหลายหน่วย หลาย Level เช่น
• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ (U.S. Department of Commerce)
• สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR)
• รัฐมนตรีคลังสหรัฐ (Secretary of the Treasury)
รัฐบาลไทยจึงต้องพร้อมรับมือกับทุกแนวทางที่สหรัฐ จะดำเนินการ
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมี 2 หน่วยงานหลัก คือ สศค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ทำงานประสานกันแบบคู่ขนาน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบ และสามารถเจรจาได้อย่างครอบคลุมในทุกระดับ โดยผมในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาระดับนโยบายทำหน้าที่กำกับให้โทนการเจรจาสอดคล้องกับบริบทของสถานการณ์
2. อัตราค่าจ้างที่ปรึกษาและบริบทพิเศษของสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยปกติ อัตราการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาหรือ Lobbyist ในสหรัฐ อยู่ที่ระดับ $20,000–$300,000 ต่อเดือน สำหรับการให้บริการทั่วไป แต่ในกรณีปัจจุบัน สถานการณ์ "Reciprocal Tariff" ทำให้บริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีความสามารถเฉพาะทางสูง และมีความสัมพันธ์เชิงนโยบายกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลสหรัฐ สามารถเรียกราคาที่สูงขึ้นกว่าปกติได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นงานที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน แข่งกับประเทศอื่น และเกี่ยวพันกับมูลค่าการค้าและการส่งออกของไทยนับแสนล้านบาทต่อปี
3. แต่ผมก็ขอยืนยันความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะอเมริกามีกฎหมายการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมาย FARA (Foreign Agents Registration Act) ว่าทุกสัญญาว่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดบนเว็บไซต์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (U.S. Department of Justice) อย่างชัดเจน
ถ้าเราไม่มีตัวแทนที่ดี / ไม่มีทีมที่เข้าใจสหรัฐ / ไม่มีเครื่องมือที่แข็งแรง ประเทศไทยอาจต้องสูญเสียตลาด ส่งออกสะดุด เกษตรกร-ผู้ประกอบการเจ็บหนัก
“การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศในโลกยุคปัจจุบัน ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจเชิงเทคนิค ความละเอียดรอบคอบ และความกล้าที่จะตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสม ผมจึงขอบคุณทุกข้อเสนอแนะ และยินดีรับฟังความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์เสมอครับ”