โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ยุทธศาสตร์ดันคาร์บอนเครดิต ภารกิจ อบก.สร้างมูลค่าจาก ‘มลพิษ’

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ณกรณ์ ตรรกวิรพัท

คอลัมน์ : สัมภาษณ์

ตลาดคาร์บอนกำลังจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่หลายประเทศเร่งปรับตัวรับมาตรการภาษีและการซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซคาร์บอน ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้าและคาร์บอนฟุตพรินต์ แต่ตลาดคาร์บอนของไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องเผชิญกับความท้าทายด้านกฎหมายและกลไกตลาดที่ยังไม่สมบูรณ์

“ประชาชาติธุรกิจ”สัมภาษณ์พิเศษ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ถึงนโยบายและเป้าหมายสำคัญในการผลักดันตลาดคาร์บอนของไทย ความท้าทายและโอกาสที่จะทำให้คาร์บอนเครดิตกลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

คาร์บอนยังเป็นภาคสมัครใจ

ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ. Climate Change) ที่อาจจะบังคับใช้ในปี 2569 ในช่วง 2-3 ปีแรกจะเป็นการเก็บข้อมูล ระหว่างนี้ก็จะมีมาตรการอื่น ๆ ที่กำลังจะเข้ามา เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU CBAM) กรอบการจัดประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Thailand Taxonomy) และร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …

ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องเตรียมพร้อม หลัก ๆ คือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ การสร้างความร่วมมือของเครือข่ายต่าง ๆ รวมถึงส่งเสริมองค์ความรู้เชิงปฏิบัติการใหม่ ซึ่ง อบก.มีจุดเด่น คือ เรามีความคล่องตัวในการดำเนินงาน ทำให้มีเครือข่าย องค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจำนวนมาก

วันนี้ คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) หรือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากการทำโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ยังเป็นรูปแบบตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ อยู่ในระยะเริ่มต้น จริง ๆ แล้วคาร์บอนเครดิตถือเป็นเรื่องปลายทางของกระบวนการ เราต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยน วางแผนเพื่อลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารองค์กร จากนั้นจึงต่อยอดไปสู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น การปลูกต้นไม้ หรือฟื้นฟูป่าไม้ หากไม่เพียงพอก็เข้าสู่กระบวนการจ่าย Carbon Tax, คาร์บอนเครดิต ดังนั้น เรื่องคาร์บอนเครดิตจึงเป็นด่านสุดท้าย และเป็นผลพลอยได้จากการบริหารจัดการ

เรามีกลไกสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Allowance) คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่อนุญาตให้ปล่อยได้ภายใต้ระบบการซื้อขายสิทธิ (ETS) เป็นกลไกประเภท Site Based ในระดับองค์กรที่ใช้กำกับดูแลผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของประเทศให้ลดก๊าซตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยส่วนใหญ่จะมีภาครัฐเป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งรัฐบาลจะจัดสรรสิทธิ ให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซสูง ๆ พร้อมกับเป้าหมายในการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากโรงงานปล่อยก๊าซมากกว่าสิทธิที่ตนเองมี จะต้องไปซื้อสิทธิจากโรงงานที่ปล่อยก๊าซต่ำกว่าเป้าหมาย ในทางกลับกัน โรงงานที่มีสิทธิเหลือสามารถขายสิทธิได้

4 ปัจจัยดันคาร์บอนเครดิตโต

จากสถิติการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ในปีงบประมาณ 2568 มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ซื้อขายไปแล้ว 275,856 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขาย 28,936,744 บาท โดยเป็นแบบผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคากันเอง (Over-the-Counter) ในปี 2568 โครงการภาคป่าไม้ที่มีราคาซื้อขายสูงสุด อยู่ที่ 500 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อมิถุนายน 2568

อย่างไรก็ดี ตลาดคาร์บอนเครดิตในไทยขณะนี้ยังมีขนาดเล็ก กฎหมายภาคบังคับยังไม่มี ดังนั้น เราจะต้องผลักดันให้เกิด 4 เรื่องหลัก คือ 1) คาร์บอนต้องได้รับการยอมรับเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน มีมูลค่าและสามารถซื้อขายได้อย่างจริงจัง 2) ต้องเกิดดีมานด์อย่างแท้จริง 3) ต้องมีกฎหมายภาคบังคับเพื่อสร้างแรงจูงใจและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน

4) ต้องมีอรรถประโยชน์เสริมที่สร้างแรงดึงดูดและเพิ่มคุณค่า เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือกลไกสนับสนุนอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความคุ้มค่า

ถ้าทำทั้ง 4 เรื่องได้ภายในปีนี้ เชื่อว่าตลาดคาร์บอนเครดิต จะเติบโตมากกว่า 10 เท่า และมั่นใจว่าคาร์บอนเครดิตจะเป็นกลไกตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการเปลี่ยน “มลพิษ” ให้กลายเป็น “มูลค่า” ที่จับต้องได้

“เรายังมีความเสี่ยงเรื่องความไม่แน่นอนของกฎหมายภาคบังคับ ถ้าเราเป็นนักลงทุนก็อาจจะไม่เทเงินลงทุนเต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่คาร์บอนเป็นสินทรัพย์ สามารถเก็งกำไรได้ จะเกิดการลงทุนและเกิดอรรถประโยชน์เสริมเข้ามาด้วย”

พ.ร.บ.ลดโลกร้อนยังไม่แน่นอน

ปัญหาของไทยในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตอนนี้เราเจออยู่ประเด็นหลัก ๆ คือ ความไม่แน่นอนทางด้านกฎหมาย เพราะตอนนี้เรายังไม่สามารถรับรองได้ว่า พ.ร.บ. Climate Change จะออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ความไม่แน่นอนนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล แต่เราเตรียมพร้อมรับมืออยู่ตลอด โดยเริ่มจากการจัดการมาตรฐานตามปกติให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่และมีการยอมรับ

ปัจจุบันเราได้พัฒนาโครงการ T-VER ขึ้น มี 2 รูปแบบให้เลือก คือ แบบมาตรฐาน และแบบพรีเมี่ยม ซึ่งมาตรฐาน Premium T-VER ถือว่าเป็นทางเลือกให้กับผู้พัฒนาโครงการและองค์กรที่ต้องการคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูง โดย Premium T-VER สามารถนำไปใช้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรายงานผลการดำเนินงานขององค์กร

รวมทั้งการซื้อขายคาร์บอนเครดิตไปยังต่างประเทศ แต่หากนำไปใช้กับวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศต้องได้รับหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิต ซึ่งมาตรฐาน T-VER มีแค่ประเทศไทย และอินโดนีเซีย แต่ไทยมีความพร้อมมากที่สุด เพราะอินโดนีเซียเพิ่งเริ่มต้น ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลที่พยายามผลักดันให้เกิดมาตรฐานนี้

อียูเริ่ม CBAM 1 ม.ค. 69

มาตรการ EU CBAM ที่ผู้นำเข้าสินค้าที่มีใบอนุญาตนำเข้าสินค้าประเภท อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฮโดรเจน เหล็กและเหล็กกล้า และพลังงานไฟฟ้า ที่เข้าเกณฑ์ EU-CBAM ต้องซื้อ CBAM Certificate และรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ โดยจะเริ่ม 1 ม.ค. 2569 และมาตรการ UK-CBAM จะเริ่มบังคับใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฮโดรเจน เหล็กและเหล็กกล้า โดยจะเพิ่มสินค้ากลุ่มแก้วและเซรามิกในลำดับถัดไป โดยจะเริ่ม 1 ม.ค. 2570 นั้น

สำหรับประเทศไทย นโยบายนี้คือแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ไทยจะต้องเดินเกมผ่าน 1) การเร่งประเมินและเปิดเผยคาร์บอนฟุตพรินต์ของสินค้า สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง (SMEs) ในการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ ใช้ข้อมูลจากการประเมินเพื่อชูจุดแข็งด้านการผลิตอย่างยั่งยืน

2) ผลักดันนโยบายรัฐหนุนสินค้าคาร์บอนต่ำ จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ควรให้คะแนนเพิ่มกับสินค้าที่มีฉลากลดโลกร้อน ใช้มาตรการภาษีเพื่ส่งเสริมการลดคาร์บอน เช่น ส่วนลดภาษี สำหรับกิจการที่ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ตามเป้า

3) ใช้ Climate Action เป็น Soft Power ทางการค้า ไทยสามารถเสนอภาพลักษณ์การค้า สีเขียว เพื่อสร้างความไว้วางใจในตลาดโลก เช่น กรณีส่งออกผลไม้ อาหาร หรือสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และ 4) เร่งเจรจา FTA กับตลาดสำคัญอื่น เช่น EU, UAE เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐ

“เมื่อเปรียบเทียบความพร้อมของไทยและคู่แข่งอย่างเวียดนาม แน่นอนว่าในเชิงธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐาน กำลังคน ไทยมีความพร้อมมากกว่า แต่ในตอนนี้เวียดนามอาจจะได้เปรียบเรามากกว่า เพราะบรรลุข้อตกลงให้สหรัฐเก็บภาษี 20%”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ยุทธศาสตร์ดันคาร์บอนเครดิต ภารกิจ อบก.สร้างมูลค่าจาก ‘มลพิษ’

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

ถึงเวลาของ Gen 2 “ซีเนียร์ คอม” พลิกโฉมระบบ DMS ลุยตลาดอาเซียน

23 นาทีที่แล้ว

เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ สืบสานหัตถศิลป์ไทย เยียวยาหัวใจชายแดนไทย-กัมพูชา

26 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

วิดีโอ

จตุพร บุรุษพัฒน์ สั่งด่วน! เร่งเสริมสภาพคล่อง ช่วยผู้ประกอบการชายแดน ทำซอฟต์โลน หาตลาดใหม่ ลดต้นทุน

BRIGHTTV.CO.TH

คาดส่งออกทั้งปีโต 5% หลังปิดดีลภาษีมะกัน 19%-เหตุชายแดนทำภาคเกษตร-ก่อสร้างขาดแคลนแรงงานฉับพลัน

MATICHON ONLINE

Arkham เปิดสถิติการแฮ็ก BTC ครั้งประวัติศาสตร์ สูญ 127,000 เหรียญ มูลค่าเฉียด 15 พันล้านดอลลาร์

Manager Online

OH!SOME บุกไทยชิงตลาดไลฟ์สไตล์รีเทล

Manager Online

“ทรูวิชั่นส์ นาว”“The NEW is NOW” ผนึกพันธมิตรทั่วโลกชูแพ็กเกจใหม่

Manager Online

ไทยร่วงเบอร์ 2 ส่งออกข้าวโลก เวียดนามแซงหน้า ตลาดยังแข่งเดือดด้านราคา

Thai PBS

ธ.ก.ส. ยกหนี้เงินกู้ครบทุกสัญญาให้ครอบครัว จ.ส.อ.ธีระยุทธ ทหารกล้าเสียชีวิตชายแดนไทย-กัมพูชา

สยามรัฐ

ปั่นหุ้น MORE...รอดูใครติดคุกบ้าง / สุนันท์ ศรีจันทรา

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

ยุทธศาสตร์ดันคาร์บอนเครดิต ภารกิจ อบก.สร้างมูลค่าจาก ‘มลพิษ’

ประชาชาติธุรกิจ

เปิดวิสัยทัศน์ SCG Decor ‘เราคืออาเซียนเพลเยอร์’ รับมือได้ทุกสถานการณ์

ประชาชาติธุรกิจ

ยกเลิก 80 ใบอนุญาตทำเหมือง ขอแล้วไม่ทำ-ให้เวลาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...