ภาษีทรัมป์ยังไม่จบ KKP เผยไทยต้องรอลุ้นต่อเรื่องปัญหา “สวมสิทธิ์-สินค้าจีนทะลัก”
หลังจากเศรษฐกิจโลกระส่ำเพราะหลายประเทศถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ตัวแทนหลายประเทศเร่งเจรจาเพื่อต่อรองลดอัตราภาษีฯ ให้ลดลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อผลประโยชน์ของเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง เช่นเดียวกับไทยที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษีนำเข้าฯ 19%
ไม่ใช่แค่ภาษีจาก “ทรัมป์” แต่เพื่อแก้ปัญหาสหรัฐฯ ที่สั่งสมมา 40 ปี
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยเหตุที่สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้านั้นอาจไม่ใช่เพียงเพราะการมีประธานาธิบดีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ แต่เกิดต้นตอปัญหาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญมาตลอด 40 ปี คือ “การขาดดุลแฝด”
1) การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เกิดจากสหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่และรายเดียวของโลก แต่หากสหรัฐฯ ยังคงก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อซื้อสินค้าจากนานาประเทศย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว ทำให้ทรัมป์เลือกออกมาตรการทั้งภาษีฯ และหาวิธีแก้ปัญหานี้
2) การขาดดุลการคลัง ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องจากขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เมื่อสหรัฐฯ นำเข้ามากกว่าส่งออก ทำให้สหรัฐฯ ต้องหาเงินมาจ่ายจากการกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล ทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 120% ต่อ GDP ถ้ายังเดินหน้านโยบายขาดดุลการคลังเพิ่มอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
ดังนั้นจากปัญหาการขาดดุลแฝดนี้ ทำให้สหรัฐฯ เลือกจะแบกรับบทบาทของ “ผู้ซื้ออย่างเดียว” ต่อไปได้แล้วนั้น นายเคนเน็ท โดนัลด์ นีลเวล นักเศรษฐศาสตร์ KKP Research กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ นั้นสูงขึ้น ถึงจุดที่สหรัฐฯ ไม่อยากก่อหนี้เพิ่มเพื่อสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นที่มาของ นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ที่แท้จริงแล้วมันคือกลยุทธ์ที่สหรัฐฯ พยายามลดการขาดดุลแฝดที่เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายคือ
- ดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ
- เพิ่มรายได้ภาครัฐฯ
- บังคับให้ทุกประเทศเปิดตลาดให้สินค้าและบริการจากสหรัฐฯ
- กันสินค้าที่มีการสวมสิทธิ (จากจีน)
- เครื่องมือต่อรองด้านความมั่นคง
เคนเน็ท ยังกล่าวเสริมอีกว่า ทรัมป์ไม่ใช่ต้นตอหลักของภาษีนำเข้าแต่เป็นกระแสของชาวอเมริกันที่ไม่ได้ต้องการการค้าเสรีอีกต่อไป จึงต้องใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการลดน้ำหนักของการขาดดุลที่เกินมาตลอด
ภาษี 19% ไม่น่ากลัวเท่า “ภาษีสวมสิทธิ์-สินค้าจีนทะลัก”
มาถึงวันนี้ที่ประเทศไทยเจรจากับสหรัฐฯ เบื้องต้นว่าจะถูกเก็บภาษีสินค้านำเข้าฯ ที่ 19% แต่ยังต้องติดตามว่าเงื่อนไขการสวมสิทธิ์ (Transshipment) ไทยจะเจอเท่าไร เพราะหากสินค้าไทยที่ถูกตัดสินว่าสวมสิทธิ์ ก็อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% โดยมีข้อมูลสะท้อนว่า สินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จำนวนมากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตค่อนข้างต่ำ และอาจส่งผลให้มีความเสี่ยงที่สินค้าจำนวนมากจะถูกคิดภาษีถึง 40%
ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ KKP Research กล่าวว่า สินค้าไทยที่มีความเสี่ยงจากภาษี Transshipment ตามนิยามสหรัฐฯ (ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่
-กลุ่ม High Value Added ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเป็นสินค้าหมวด อาหาร, ข้าว, ยางพารา, ถุงมือยาง, อาหารสัตว์, HDD, ยางรถยนต์ ฯลฯ ซึ่งกลุ่มนี้มีการส่งออก 15 - 30% ของการส่งออกไปสหรัฐ
- กลุ่ม Medium Value Added เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, แอร์ และตู้เย็น ฯลฯ ถือว่ามีความเสี่ยงระดับกลาง โดยกลุ่มนี้มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ราว 10% - 25%
- กลุ่ม Low Value Added เช่น Solar Panel และ Wifi Routers เป็นสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิอย่างชัดเจนจึงอาจจะโดนภาษี Transshipment ที่สูงถึง 40% แต่ด้วยพื้นฐานเป็นสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อประกอบหรือส่งออกจึงจะส่งผลต่อ GDP ไม่มากนัก
ในภาพรวมทั้ง 3 กลุ่มสินค้าถ้าเจอเรื่องภาษี Transshipment จะส่งผลต่อ GDP ราว 0.7 -1.1% นอกจากนี้ ยังต้องจับตากลุ่มสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี (อยู่เดิม) ประมาณ 60% ที่มีแนวโน้มเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ หากสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งปีที่ 0.3-0.7%
ทั้งนี้ ต้นตอของปัญหาที่สหรัฐฯ พยายามกีดกันสินค้าสวมสิทธิ์เกิดขึ้นเพราะในบางประเทศที่เจอกำแพงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ย่อมต้องหาทางเลี่ยงให้จ่ายภาษีน้อยลง เช่น ตั้งแต่ปี 2561 พบว่าจีนพยายามเลี่ยงจะส่งออกไปให้สหรัฐฯ จนสัดส่วนการส่งออกลดลงถึง -5.5% แต่กลับเห็นการส่งออกมาที่อาเซียนมากขึ้น เช่น ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย
ดังนั้น สิ่งที่ต้องติดตามในระยะต่อไปคือ ถ้าสหรัฐฯ ยังตั้งกำแพงภาษีสูงจนสินค้าจีนที่ไม่สามารถเข้าไปขายในสหรัฐฯ ได้เหล่าสินค้าที่จีนผลิตไว้จำนวนมาก ย่อมต้องกระจายมาที่ไทย และอาเซียน และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตของไทยที่ปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงความสามารถในการแข่งขันยังแย่ลงในช่วงที่ผ่านมา
เศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร
เมื่อภาษีทรัมป์ยังไม่ชัดเจนทั้ง 100% ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งขาขึ้นและขาลง ดังนั้นเบื้องต้น KKP Research ยังคงมุมมองเดิมว่า GDP ไทยปี 2568 จะขยายตัวที่ 1.6% ซึ่งเดิมคาดการณ์บนสมมติฐานที่ว่าภาษีทรัมป์อยู่ที่ 10% แม้ภาษีทรัมป์จะออกมาที่ 19% แต่มองว่ายังมีผลกระทบใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามตัวเลข GDP ไทยไตรมาส 2/68 ที่จะออกมาในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง โดย KKP Research คาดการณ์ไว้ที่ 2.2% ช่วงที่เหลือของปียังมองว่าการส่งออกอาจยากลำบากกว่าครึ่งแรก และยังต้องติดตามการท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด
ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยคือการปรับโครงสร้างในภาพรวมโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้แข่งขันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ จากที่ตอนนี้อุตสาหกรรมหลักของไทยคือ ยานยนต์ ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ ที่เผชิญปัญหาพร้อมกัน ทางรอดของไทยอาจต้องโฟกัสที่อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อาหารสัตว์, และภาคบริการ เพิ่มขึ้น
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาษีทรัมป์ยังไม่จบ KKP เผยไทยต้องรอลุ้นต่อเรื่องปัญหา “สวมสิทธิ์-สินค้าจีนทะลัก”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “พริษฐ์” เสียดาย รัฐบาลทำคำของบฯ 69 รายการเดิมๆ ไม่ตอบโจทย์ปัญหาภาษีสหรัฐฯ
- ภาษีทรัมป์ยังไม่จบ KKP เผยไทยต้องรอลุ้นต่อเรื่องปัญหา “สวมสิทธิ์-สินค้าจีนทะลัก”
- รทสช. มั่นใจสภาฯ ผ่านงบประมาณ 2569 ไม่หวั่นฝ่ายค้านท้วงไม่แปรงบฯ รับมือภาษีทรัมป์
- สรุปมุมมองการประชุมกนง. 13 ส.ค. นี้ ควร “คง” หรือ “ลด” ดอกเบี้ยนโยบาย
- รอบรั้วการตลาด: อว. พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath