ศาลไฟเขียว ผู้เสียหาย STARK หุ้นกู้-หุ้นสามัญ ทวงค่าเสียหาย 4 หมื่นล้าน
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ไฟเขียว ผู้เสียหาย STARK หุ้นกู้-หุ้นสามัญ รวมพลังทวงค่าเสียหายกว่า 4 หมื่นล้าน
วันที่ 21 ส.ค. 2568 ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องซึ่งนายอภิวัชร์ อรรคลีพันธุ์ โดยนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทนผู้เสียหาย ‘กลุ่มรวมพลังสตาร์ค’ ยื่นฟ้องและขอดำเนินคดีแบบกลุ่ม (class action) เพื่อเรียกค่าเสียหายจาก บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) และจำเลยอีกหลายรายให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นักลงทุนทั้งหุ้นกู้และหุ้นสามัญหลายหมื่นราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 40,000 ล้านบาท
โดยศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขดำที่ ผบ266/2567 ได้นัดอ่านคำสั่งตามคำร้องที่นายอภิวัชร์ อรรคลีพันธุ์ โดยนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีแบบกลุ่มไปเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 และศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีแบบกลุ่มทั้งในส่วนของหุ้นกู้และหุ้นสามัญ STARK และมีคำสั่งจำหน่ายจำเลยบางรายที่เคยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือบางรายถูกฟ้องคดีไปแล้วออกจากคดีบางส่วน แต่ยังคงมีจำเลยที่ถูกดำเนินคดีต่อไปอีก 19 ราย
โจทก์ในคดีนี้ได้เรียกค่าสินไหมทดแทนรวมค่าเสียหายเพื่อการลงโทษให้สมาชิกกลุ่มทั้งส่วนหุ้นกู้และหุ้นสามัญเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายในฐานะผู้รับมอบอำนาจโจทก์และตัวแทน ‘กลุ่มรวมพลังสตาร์ค’ กล่าวว่า คดีนี้เป็นเรื่อง STARK คดีเดียวในเวลานี้ที่ฟ้องบริษัท (STARK)และเรียกค่าเสียหายให้ทั้งผู้เสียหายทั้งส่วนหุ้นกู้และหุ้นสามัญรวมในคดีเดียว พร้อมฟ้องอดีตผู้บริหาร ผู้ตรวจสอบภายใน ผู้สอบบัญชีและผู้เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ในคดีเดียวกัน
ดังนั้นจึงขอเชิญผู้เสียหายกลุ่มอื่นๆ ให้ร่วมหารือแนวทางในการรวมพลังดำเนินคดีให้เกิดประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุดเพื่อประโยชน์ร่วมกันของผู้เสียหายทุกคน
นายวีรพัฒน์กล่าวต่อว่า คดีนี้แตกต่างอย่างมีสาระสำคัญไปจากคดีก่อนหน้านี้ที่มีการยื่นฟ้องจำเลยแตกต่างกันไป บางคดีฟ้องเรื่อง STARK แต่กลับไม่ฟ้องบริษัท(STARK ) บางคดีอ้างงบการเงินเป็นเท็จแต่ไม่ได้ฟ้องผู้สอบบัญชีและไม่ได้คุ้มครองผู้ลงทุนหุ้นกู้และหุ้นสามัญให้ครบถ้วนในคดีเดียวกัน
จากนี้จะขอนำคำสั่งไปศึกษาเนื้อหาโดยละเอียดและหารือกับผู้เสียหายและทีมทนายความเตรียมใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์เพื่อขอให้ศาลอุทธรณ์นำคดีแบบกลุ่มคดีอื่นที่มีการฟ้องไปก่อนหน้านี้ให้รวมการพิจารณาและกำหนดขอบเขตสมาชิกกลุ่มเพื่อช่วยให้ผู้เสียหายทั้งหุ้นกู้หุ้นสามัญและวอร์แรนต์สามารถรวมพลังต่อสู้คดีไปพร้อมกันโดยฟ้องมีจำเลยที่เกี่ยวข้องให้ครบทุกรายในคดีเดียวกัน
ทั้งนี้ คดีนี้สืบเนื่องจากผู้เสียหาย ‘กลุ่มรวมพลังสตาร์ค’ ได้มีตัวแทนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบรรดาจำเลยในความผิดทางแพ่งฐานละเมิดที่มีส่วนสร้างความเสียหายอันเกี่ยวกับการกระทำที่มีการตระเตรียมวางแผนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดทุน โดยเฉพาะการปล่อยละเลยหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ ทำบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ในบัญชีหรือเอกสารของ STARK และบริษัทย่อย เพื่อลวงนักลงทุน
อีกทั้งเปิดเผยในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน(ไฟลิ่ง) โดยเปิดเผยงบการเงินที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบการเงินดังกล่าว รวมทั้งปกปิดข้อความจริงในข้อมูลในส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแสดงรายการข้อมูลสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ STARK หรือแบบ 56-1 และการให้ข้อมูลต่อสาธารณะที่กระทบต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนว่าได้มีการเข้าลงทุนในบริษัท LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc แล้ว ทั้งที่ยังเข้าลงทุนในกิจการดังกล่าวไม่เสร็จเรียบร้อย
ทั้งนี้ ปรากฏว่าหลังจากที่ STARKได้รับเงินหุ้นกู้และเงินเพิ่มทุน พบการโอนเงินออกจากบริษัท (STARK)และบริษัทย่อยไปยังบริษัทหรือบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินด้วย ตลอดจนการกระทำความผิดอื่นๆ เพื่อตักตวงประโยชน์จากราคาหุ้นสามัญและการได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือผลประโยชน์โดยไม่ชอบ
จึงได้มีตัวแทนผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้องและริเริ่มขอดำเนินคดีผู้บริโภคแบบกลุ่มเพื่อให้ผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้นกู้ หุ้นสามัญ และ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์(วอร์แรนท์) STARK ทุกรายได้รับความเป็นธรรมสูงสุดยิ่งกว่าคดีอื่นที่อาจมีการฟ้องจำเลยไม่ครบรายหรือยกข้อเท็จจริงข้อกฎหมายได้ไม่ครบถ้วน
สำหรับเนื้อหาคำสั่งศาลนั้น ในเรื่องข้อหา ศาลเห็นว่า คำฟ้องโจทก์ทั้งในส่วนของหุ้นกู้และหุ้นสามัญได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์และกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเดียวกับโจทก์แล้ว แม้ลักษณะความเสียหายของสมาชิกกลุ่มจะแตกต่างกันตามเงื่อนไขและช่วงเวลาในการซื้อขายหุ้นกู้และหุ้นสามัญของ STARK จำเลยที่ 1 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นรายละเอียดที่จะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาต่อไป ซึ่งโจทก์สามารถนำสืบแสดงรายละเอียดของสมาชิกกลุ่มในชั้นพิจารณาได้
ในเรื่องกลุ่มผู้เสียหาย ศาลเห็นว่า โจทก์แสดงให้เห็นว่าโจทก์และสมาชิกกลุ่มต่างได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยทั้งยี่สิบสี่มีส่วนเกี่ยวข้องคือการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับงบแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของจำเลยที่ 1 อันเป็นเท็จ แม้ความเสียหายหรือผลกระทบมีความแตกต่างกัน แต่ความเสียหายสืบเนื่องมาจากการกระทำเดียวกัน จึงถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะที่เหมือนกันของกลุ่มบุคคลที่ชัดเจนเพียงพอเพื่อให้รู้ได้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลใดแล้ว
ในเรื่องประสิทธิภาพในการดำเนินคดี ศาลเห็นว่า โจทก์เสนอบัญชีรายชื่อโจทก์และสมาชิกกลุ่ม ซึ่งปรากฏว่าสมาชิกกลุ่มซึ่งเป็นผู้ซื้อหุ้นกู้ และผู้ซื้อขายหุ้นสามัญในช่วงเวลาตามคำร้องกว่า 2 หมื่นรายดังนั้นหากดำเนินคดีอย่างคดีสามัญด้วยการเป็นโจทก์ร่วมหรือร้องสอดหรือสมาชิกกลุ่มแต่ละรายเป็นโจทก์แยกฟ้องเป็นคดีต่างหาก ย่อมจะทำให้เกิดความยุ่งยากและไม่สะดวก หรือผลแห่งคดีแต่ละคดีอาจมีความแตกต่างกันทั้งๆที่คดีมีลักษณะเดียวกัน ดังนี้ หากอนุญาตให้ดำเนินคดีนี้แบบกลุ่มจะเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินคดีอย่างคดีสามัญ
ในเรื่องความสามารถและคุณสมบัติของโจทก์และทนายความนั้น ศาลเห็นว่า โจทก์ได้แสดงให้เห็นว่าโจทก์และสมาชิกกลุ่มมีสิทธิอย่างเดียวกันอันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเดียวกัน ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายโจทก์มีประสบการณ์ในการทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและด้านคดีกลุ่ม ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีคุณสมบัติและมีส่วนได้เสียโดยตรงจากการกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสี่ และเมื่อพิจารณารายชื่อและผลงานของผู้รับมอบอำนาจ ทนายความโจทก์และทนายความของกลุ่ม เป็นผู้มีความรู้และความเข้าใจข้อเท็จจริงในคดี มีประวัติการทำงานและประสบการณ์ บทบาทและหน้าที่ในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ ผู้รับมอบอำนาจและทนายความที่โจทก์เสนอมีความสามารถเพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิของโจทก์และสมาชิกกลุ่มได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม
ศาลจึงสรุปว่าคำร้องขอดำเนินคดีแบบกลุ่มของโจทก์จึงครบหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ และให้คู่ความใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ต่อไป