ณัฐพงษ์แนะปฎิรูประบบงบประมาณ สร้างการลงทุนเพื่ออนาคตประเทศ จี้แก้ปัญหาจัดงบไม่ฟังเสียงสภา ขาดความโปร่งใส ไร้ทิศทาง
วันนี้ (13 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระ 2 และ 3 เป็นวันแรก โดยในการพิจารณามาตรา 4 ว่าด้วยภาพรวมของงบประมาณรายจ่าย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า เนื่องจากตนเองได้แปรญัตติไว้เกือบทุกมาตรา ทุกกระทรวง เพื่อสะท้อนปัญหาให้เห็นว่า การจัดสรรงบประมาณในปีนี้มีปัญหาซ้ำๆ ในทุกกระทรวงอย่างไรบ้าง หรือที่สรุปว่า คิดไม่รอบ คือไม่มีความรอบคอบ และคิดไม่ลึก คืองบลงทุนไม่ได้ถูกลงทุนเพื่อสร้างประเทศ และเพื่อประหยัดเวลาในการประชุม จะขอรวบทุกประเด็นมาอภิปรายในครั้งนี้
ณัฐพงษ์เห็นด้วยว่า ควรปรับลดงบประมาณ เพื่อเก็บกระสุนไว้ให้ประหยัดพื้นที่ทางการคลังเพื่อลงทุนให้กับประเทศในระยะยาว ขณะนี้ประเทศเราเผชิญกับ 2 วิกฤต 2 สงคราม ทั้งวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา และวิกฤตการเมืองรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ทั้งนิติสงครามและสงครามการค้า เป็นสิ่งที่พวกเราอยากเห็นว่า ในงบประมาณปี 2569 รัฐบาลได้เตรียมเกราะป้องกันและสร้างการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศอย่างไรบ้าง
ณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่แปรญัตติกลับมาไม่ตรงจุดเลย ปีนี้กรรมาธิการฯ สามารถตัดลดงบประมาณได้มากกว่าปีที่แล้ว คือ 8,920 ล้านบาท แต่ผลงานปีนี้ยังต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ การทำหน้าที่ของกรรมาธิการฯ จึงเป็นการตอดเล็กตอดน้อยเท่านั้น ส่วนการแปรญัตติซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล เพราะการแปรญัตติยังลงไปที่รายจ่ายประจำอื่นๆ เช่น เงินเดือนของบุคลากรในองค์กรอิสระ
“รายจ่ายต่างๆ แบบนี้ควรตั้งมาเต็มจำนวนตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ. ในวาระ 1 แล้ว ไม่ควรแปรญัตติกลับมาในวาระ 2 นั่นแปลว่าในวาระ 1 รัฐบาลไม่รอบคอบที่จะทำให้รายจ่ายประจำเหล่านี้ตั้งเข้ามาอย่างเต็มจำนวนอย่างที่ควรจะเป็น” ณัฐพงษ์กล่าว
สำหรับงบลงทุนก็น่าผิดหวัง เพราะงบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศยังเหมือนเดิม คือ งบการตัดถนน สร้างตึก ขุดคลอง ซึ่งเราได้เสนอแนะไปแล้วตั้งแต่วาระ 1 เราอยากเห็นรัฐบาลโยกงบประมาณไปลงทุนให้ถูกจุด จึงน่าผิดหวังอย่างยิ่งกับท่าทีของรัฐบาลที่ดูเพิกเฉยกับ 2 วิกฤต 2 สงคราม งบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ประเทศ สามารถสรุปได้ว่า เกิดจากกระบวนการหูหนวก ตาบอด ขาดเข็มทิศ ไร้แผนที่
หูหนวกตรงที่ไม่ฟังเสียงสภาฯ เลย ข้อสังเกตของกรรมาธิการฯ ตั้งมาอย่างยากลำบากในทุกปี แต่ส่วนราชการได้ปรับปรุงมาตรงแค่ไหน กล้าพนันว่าแทบไม่มีการแก้ไขเนื้อหาภายในใดๆ เลย เสียงจากสภาฯ ไม่เคยมีความหมาย สส. เป็นเพียงแค่ตรายางประทับให้กับงบของส่วนราชการประจำ
ตาบอดตรงที่ไม่มีความโปร่งใส เพราะยังมีเงินนอกงบประมาณอีกเยอะ ที่อยู่เหนือการตรวจสอบของสภาฯ โดยตรง และอยู่นอกสายตาประชาชน เช่น อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่ม ซึ่งเป็นเงินสะสมตามองค์กรอิสระ หรือโครงการซื้อตึก SKYY9 แพงเกินจริง จากกองทุนประกันสังคม เรามุ่งหวังให้รัฐบาลมาแก้ไขการจัดทำงบประมาณให้โปร่งใสยิ่งขึ้น
ขาดเข็มทิศ คือสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง ต่างคนต่างทำ และไร้แผนที่ คือมองไม่เห็นภาพรวม งบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องมองถึงรายได้ เพราะรัฐมีรายได้อื่นๆ ที่ยังไม่ส่งคืนคลังอีกเยอะ เช่น รัฐพาณิชย์ ธุรกิจกองทัพ ที่เรายังมองไม่เห็น
“สิ่งต่างๆ ที่ผมพูดมา ถ้าผมมีอำนาจในฝ่ายบริหาร ยืนยันอีกครั้งว่า เราสามารถแก้ได้เกือบทุกเรื่อง เพื่อให้งบประมาณฟังเสียงสภามากขึ้น ประชาชนมองเห็นไส้ในได้มากขึ้น มีทิศมีทางมากขึ้น และเราเห็นสุขภาพทางการคลังของประเทศได้มากขึ้น”
ณัฐพงษ์ชี้ว่า ทุกปัญหาที่บอกไป ถ้าเราไม่ปฏิรูประบบงบประมาณ ที่ฝ่ายบริหารสามารถลงมือทำได้จริงๆ โดยไม่ต้องแก้กฎหมาย ไม่มีวันที่เราจะเห็นเงินในทุกๆ กระเป๋าที่รัฐถืออยู่ ไม่มีทางจะสามารถบูรณาการการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเหล่านั้นไม่พุ่งเป้าและตรงจุดมากขึ้น
ณัฐพงษ์สรุปว่า เศรษฐกิจไทยเวลานี้ต้องการเม็ดเงินลงทุนใหม่ ที่สร้างความเติบโตให้กับประเทศในอนาคต ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับผู้ได้รับสัมปทานบางกลุ่มเท่านั้น เงินลงทุนนั้นควรสะท้อนอยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เหล่านั้น เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นและเห็นโอกาส ความเชื่อมั่นมาจากเสถียรภาพทางการเมือง และความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งอาจเกี่ยวโยงกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การมองเห็นโอกาส หากรัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ฉบับนี้ดีพอ จะทำให้นักลงทุนเห็นภาพตรงกัน
ณัฐพงษ์ทิ้งท้ายว่า การลงทุนที่อยากเห็น เช่น การปลูกเมืองรอง ทำให้คนต่างจังหวัดมีชีวิตที่ดี, การลงทุนปลูกโซลาร์เซลล์บนหลังคาประชาชน เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และลดค่าไฟในตัว, การลงทุนปลูกข้าวอย่างยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น รัฐบาลมีหน้าที่ประกาศเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วเอกชนจะมาร่วมลงทุน