แนวโน้มธุรกิจไบโอดีเซลไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘ธุรกิจไบโอดีเซล’ ในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายพลังงานหมุนเวียนของประเทศ โดยเฉพาะการใช้ไบโอดีเซลประเภท B100 ผสมในน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันดิบจากต่างประเทศ และส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศอย่างน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์ของอุตสาหกรรมไบโอดีเซลเริ่มเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากนโยบายภาครัฐ ที่ลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลลงเหลือเพียงระดับ B5 โดยให้เหตุผลด้านเสถียรภาพราคาและภาระต่อราคาน้ำมันในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังการผลิต การจำหน่าย และรายได้ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (Kresearch)ได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ ‘แนวโน้มธุรกิจไบโอดีเซลไทย’ โดยระบุว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตไบโอดีเซลกำลังเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินนับตั้งแต่ปี 2564 ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization) อยู่ที่ 53% และคาดว่าจะมีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 34% ในปี 2568
ซึ่งกำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2564-2567 เพราะในปี 2563 ภาครัฐกำหนดให้น้ำมันดีเซลที่มีการผสมไบโอดีเซลราว 10% (B10) เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานของประเทศแทนน้ำมันดีเซลที่มีการผสมไบโอดีเซลราว 7% (B7) นอกจากนี้ยังมีแรงจูงใจด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI เพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการไบโอดีเซลที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือมีการวิจัยและพัฒนา ทำให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจและขยายกำลังการผลิต
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมได้เริ่มปรับตัวด้วยการลดกำลังการผลิต (capacity) ลงราว 2.5% ในปี 2568 แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่เผชิญอยู่ได้ โดยปัญหานี้ทำให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะรายเล็กและกลางที่ประสบอุปสรรคในการแย่งชิงความต้องการที่จำกัดในตลาด อีกทั้งต้นทุนต่อหน่วยการผลิตยังคงอยู่ในระดับสูง เพราะผู้ผลิตไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการประหยัดเชิงขนาด ซึ่งภาวะดังกล่าวคาดว่าจะดำเนินต่อเนื่องไปในระยะข้างหน้า
‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ มองว่าในปี 2568 รายได้ธุรกิจไอโบดีเซลคาดว่าจะ ‘ลดลง’ เพราะความต้องการไบโอดีเซลที่หดตัว แม้ราคาจะสูงขึ้น ในขณะที่ปี 2569 รายได้อาจจะฟื้นตัวเล็กน้อยจากนโยบายเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล ประกอบกับราคาไบโอดีเซลที่คาดว่าจะปรับขึ้นเล็กน้อย โดยอุปสงค์ไบโอดีเซลไทยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 1.สัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งภาครัฐอาจจะปรับเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาจาก 5-7% (B5) มาเป็น 6.6-7% (B7) ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนปีหน้าคาดว่าความต้องการไบโอดีเซลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
2.ความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลไทยคาดว่าจะลดลง 0.8% ในปีนี้ และ 1.3% ในปี 2569 เพราะการใช้น้ำมันดีเซลเพื่อขนส่งนักท่องเที่ยวโดยรถโดยสารมีแนวโน้มหดตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยที่ลดลงจากฐานที่สูงในปี 2567 ประกอบกับได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ดี คาดว่าในปีนี้ราคาไบโอดีเซลจะเพิ่มขึ้น 3.6% และ 0.9% ในปี 2569 ตามทิศทางราคาน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาไบโอดีเซล ขณะที่ความเสี่ยงของตลาดไบโอดีเซลในระยะกลางถึงยาวนั้น น่าจะมาจาก พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 ซึ่งระบุให้ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพภายในปี 2569 จะกระทบราคาและความต้องการไบโอดีเซล ทำให้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจและการสร้างผลกำไรลดลง
อีกทั้งยังมีกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและแผนพลังงานไทยกดดันการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วต่อเนื่องในอนาคต อาทิ พ.ร.บ. Climate Change ที่ภาครัฐมีแผนจะบังคับใช้ภายในปีหน้า อาจทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อลดการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เช่น การเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรกลไฟฟ้ามากขึ้นในภาคการก่อสร้างและภาคการเกษตร เป็นต้น อีกทั้งยังมีร่างแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2567-2580 (Oil Plan 2024) ยังมุ่งเน้นเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย.
ครองขวัญ รอดหมวน