“Everyone wants to be us.” แม้จะผ่านมาเกือบ 20 ปี ทำไมเรายัง ‘อิน’ The Devil Wears Prada เสมอ
หลังการเริ่มถ่ายทำThe Devil Wears Prada ภาค 2 เราได้เห็น แอนน์ แฮทธาเวย์, เมริล สตรีป, เอมิลี บลันต์ และสแตนลีย์ ทุชชี กลับมาเดินอยู่บนท้องถนนของมหานครนิวยอร์กอีกครั้ง ภาพของผู้ช่วยสาว แอนดี้ (แอนน์ แฮทธาเวย์) วิ่งตามหลังบรรณาธิการบริหารสุดโหด มิแรนดา พรีสต์ลี (เมริล สตรีป) ต้อยๆ แทบจะเหมือนว่าเวลาผ่านไปหนังภาคแรกไม่กี่สัปดาห์ อาจเพราะเหล่านักแสดงนำของหนังเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดผู้คนที่หน้าตาเหมือนเดิมมาตลอดอาชีพการแสดง หรืออาจเพราะ The Devil Wears Prada ไม่เคยห่างหายออกจากความคิดของผู้คน
ทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วเกือบ 20 ปี หนังเรื่องนี้กลับมาเสมอในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมีม บทความที่ใช้หนังเป็นเลนส์มองอุตสาหกรรมแฟชั่น การวิเคราะห์สไตล์ของเหล่าตัวละครในเรื่อง บทสนทนาถกเถียงว่าใครคือตัวร้ายที่แท้จริงของเรื่อง ภาพที่โผล่มาจากกองถ่ายให้กำเนิดเทรนด์การเอารูปถ่ายนักแสดงมากมายแต่งตัวเฉียบจากฝีมือปาปารัสซีมาโพสต์ แล้วบอกว่าคนเหล่านี้มาร่วมแสดงในหนังภาคต่อ
สิ่งที่น่าสนใจคือไม่ใช่ทุกคนมีประสบการณ์ร่วมในการทำงานแม็กกาซีน - โดยเฉพาะแม็กกาซีนแฟชั่นระดับท็อปของโลกอย่าง ‘Runway’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงมาจาก Vogue แต่ว่าทุกคนมีอะไรสักอย่างที่เชื่อมตัวเองเข้ากับหนังเรื่องนี้ได้
ในโอกาสที่ The Devil Wears Prada กลับมาอยู่ในทุกพื้นที่โซเชียลมีเดียอีกครั้ง ไทยรัฐพลัสขอพาย้อนดู 4 เหตุผลที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เคยห่างหายไปไหน
เราทุกคนต่างเป็น (หรือเคยเป็น) แอนดี้
“ฉันมาที่นิวยอร์กเพื่อจะมาหางานนักข่าว ฉันส่งใบสมัครไปทุกที่แล้วก็มีอีไลแอส-คลาร์กตอบกลับ ได้คุยกับเชอร์รี่จากเอชอาร์ ถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็ต้องไปทำซุ้มรถมือสองแล้วล่ะ”
แอนเดรีย แซ็กส์ หรือ แอนดี้ พูดอย่างนั้นในการสัมภาษณ์งานกับ มิแรนดา พรีสต์ลี ตำแหน่งที่เธอสมัครเข้ามาทำในแม็กกาซีน Runway ไม่ใช่นักข่าวหรือนักเขียนที่เธอเรียนและฝันใฝ่ แต่คือผู้ช่วยของบรรณาธิการบริหารระดับตำนาน ทั้งในด้านความสามารถ อิทธิพล และความเย็นชา แอนเดรียเดินเข้ามาในงานนี้ไม่ได้หวังจะเติบโตในวงการแฟชั่น แต่หยิบคว้าโอกาสไว้เพื่อใช้มันเป็นก้าวถัดไปที่จะไปต่อในสายงานข่าว
เราต่างเคยยืนอยู่ในจุดที่ผู้ช่วยสาวคนนี้ยืนอยู่ นั่นคือเราต่างมีเป้าหมายในการงานที่เราอยากจะไปให้ถึง แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้เราต่างต้องเดินทางผ่านขวากหนามที่เราอาจไม่ได้ถูกใจนัก เราต่างเคยร่อนใบสมัครงานไปทั่วแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ ที่ที่ได้ก็ช่างไม่ใช่ทางเอาเสียเลย แต่ก็ต้องคว้าไว้แล้ววางแผนเดินต่อ การเดินต่อผ่านขวากหนามเหล่านั้นส่งผลกับเรา มันเปลี่ยนเรา สำหรับบางคน มันเปลี่ยนได้แม้กระทั่งเป้าหมายเดิมของเรา
ในกรณีของแอนดี้ เธอเป็นสาวไม่แต่งตัว ไม่สนใจแฟชั่น สังคมเพื่อนเธอมองว่ามันเป็นอุตสาหกรรมที่ตื้นเขินและฉาบฉวย ผู้คนที่อยู่ได้อยู่เพื่อภาพลักษณ์ทางสังคมที่ดูดีแต่กลวงเปล่า และเพื่อหาโอกาสหยิบฉวยของแพงฟรีๆ ที่มีใครสักคนทิ้งให้พวกเขา
สังคมการทำงานของแอนดี้เรียกได้ว่าท็อกซิกพอตัว อุตสาหกรรมแฟชั่นปี 2000 มีการ ‘แบ่งชนชั้นทางรสนิยม’ อย่างชัดเจนเนื่องจากความนิยมที่ก้าวกระโดดของ Fast-Fashion ที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเสื้อผ้าตามกระแสได้ง่ายขึ้น และความคลั่งผอมที่แม้จะดีขึ้นแล้วจากช่วงปี 90s ก็ยังคงติดค้างอยู่ในมาตรฐานความงามในตอนนั้น บรรยากาศเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลแค่กับคนทำงานฉากหน้า แต่กับคนทำงานตัวเล็กตัวน้อยในออฟฟิศของเธอด้วย
แอนดี้รู้สึกไม่พออยู่เสมอ แต่งตัวถูกเกินไป เชยเกินไป ดีไซเนอร์คนนั้นก็ไม่รู้จัก นิตยสารนี้ก็ไม่เคยอ่าน แถมโลกรอบตัวยังบอกอีกว่าเธอผู้เป็นสาวไซส์ 6 อ้วนเกินไป ตลอดเรื่องเราได้เห็นแอนดี้พาตัวเองปะทะกับความคาดหวังสูงลิบของออฟฟิศแห่งนี้ และเราได้เห็นว่าหลายๆ อย่างเธอก็น้อมรับไว้ และอีกหลายๆ อย่างที่ไร้สาระมองข้ามไปบ้างก็ดี
เราต่างเคยเป็นแอนดี้ (หรือกำลังเป็นอยู่) ไม่ใช่เพราะเธออยากเป็นนักข่าว แต่เพราะว่าในหนทางการทำงานของเรา เราต่างเรียนรู้เรื่องต่างๆ ผ่านเรื่องน่าเวียนหัวและปวดใจไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ท้ายที่สุดเมื่อเราผ่านทุกอย่างไปได้ เราจะเห็นวิธีการที่ความลำบากเหล่านั้นปั้นเราให้เป็นเราในปัจจุบัน ทั้งจากบทเรียนที่เรารับไว้และบทเรียนที่เราปฏิเสธ
ผู้คนสนใจแฟชั่นและเสื้อผ้ามากกว่าที่เคยเป็น
ในฉากๆ หนึ่ง แอนดี้สวมสเวตเตอร์ไหมพรมโพลีเอสเตอร์สีน้ำเงินเฉิ่มๆ เข้าไปร่วมวงดูมิแรนดาแมตช์เสื้อผ้าสำหรับถ่ายแบบ เธอหลุดหัวเราะเล็กน้อยตอนที่พนักงานอีกคนชูเข็มขัดสีฟ้าน้ำทะเลสองเส้นคู่กันแล้วพูดว่า “เลือกยากมากเลย มันต่างกันสุดๆ” เพราะในสายตาของแอนดี้ เข็มขัดทั้งสองเส้นแทบจะเหมือนกัน
มิแรนดาหันไปสั่งสอนผู้ช่วยสาวด้วยการใช้สเวตเตอร์ราคาถูกของแอนดี้เป็นตัวอย่าง
“เธอคิดว่าสิ่งที่เราทำมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เธอเลือกหยิบเสื้อสเวตเตอร์น้ำเงินบวมๆ นั่นมาใส่เพื่อบอกโลกว่าเธอมันจริงจังเกินจะแคร์ว่าเธอสวมอะไร” มิแรนดาพูด ก่อนจะชี้ให้เธอเห็นว่าสีน้ำเงินเซอรูเลียนที่ฉาบทาอยู่บนเส้นใยของเสื้อเธอนั้นกลายเป็นที่นิยมเนื่องจากในปี 2002 ดีไซเนอร์ออสการ์ เดอ ลา เรนตา, ยีฟ แซง โลรอง และแบรนด์โดลเช่แอนด์กาบานาใช้สีนี้บนรันเวย์ของพวกเขา และสีน้ำเงินเซอรูเลียนก็ค่อยๆ ไหลลงมาสู่แบรนด์ที่เล็กกว่า แล้วไปจบลงที่ราวเสื้อผ้าตามห้างสรรพสินค้าในที่สุด
มิแรนดาสรุปความ “สีน้ำเงินนี้มีมูลค่านับล้านและผ่านมือคนทำงานมากเกินจะนับ เธอยืนอยู่ตรงนั้นคิดว่าสิ่งที่เธอเลือกใส่มันตัดขาดจากอุตสาหกรรมแฟชั่น แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังสวมสเวตเตอร์ที่คนในห้องนี้เองเลือกให้เธอ”
ในปัจจุบัน ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลก อุตสาหกรรมแฟชั่นอยู่ในขาลงก็จริง แต่ว่าบทสนทนาเกี่ยวกับแฟชั่นแพร่กระจายอยู่ทั่วไปหมดบนโซเชียลมีเดีย แม้ไม่ได้มีน้ำเสียงดุดันเท่ากับมิแรนดา แต่หลายๆ คนมองเสื้อผ้าด้วยมุมมองไม่ต่างจากเธอ นั่นคือเสื้อผ้าเป็นมากกว่าวัตถุ แต่คือศิลปะ คือวัฒนธรรม คือน้ำพักน้ำแรงของมนุษย์ ทั้งนักออกแบบและผู้ตัดเย็บ บรรณาธิการและนักข่าวแฟชั่น
ด้วยการเติบโตของโซเชียลมีเดีย บทสนทนาเกี่ยวกับแฟชั่นในโลกปัจจุบันมีหลายระดับ เรามีทั้งคนที่มาแต่งตัวโชว์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ในวิดีโอสั้น Get Ready With Me มีทั้งคนที่พูดถึงดีไซเนอร์ผู้มองเสื้อผ้าเป็นศิลปะ มองไปที่ประวัติศาสตร์ของเสื้อผ้าเพื่อทำความเข้าใจข้อเกี่ยวข้องระหว่างเสื้อผ้าแรงงานและเสื้อผ้าที่เราใส่อยู่ในปัจจุบัน และอีกมากมาย
กลายเป็นว่ามุมมองของหลายๆ ตัวละครที่ว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมที่ตื้นเขินเท่านั้นไม่เป็นไปกับภาพในปัจจุบัน
ฉันเกลียดงาน แต่ฉัน ‘รัก’ เพื่อนร่วมงาน
จุดเด่นของ The Devil Wears Prada คือเหล่าตัวละครสมทบในเรื่องที่ถูกเขียนออกมาได้อย่างเฉียบแหลมและเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ช่วยหมายเลขหนึ่งของมิแรนดา เอมิลี ชาร์ลตัน (เอมิลี บลันต์) และผู้กำกับแฟชั่น ไนเจล คิปลิง (สแตนลี ทูชชี)
เอมิลีคือคนที่ทำงานใกล้ชิดกับแอนดี้ที่สุด เนื่องจากทั้งคู่ทำงานตำแหน่งเดียวกัน นั่นคือเป็นที่ ‘รองมือรองตีน’ ของมิแรนดา เธออยู่กับ Runway มานานจนมิแรนดาเรียกแทนตำแหน่งผู้ช่วยว่า ‘เอมิลี’ ไปแล้ว และการที่จะอยู่ตรงนี้ได้นาน เธอต้องอยู่ในโหมดพร้อมทำงานเสมอ คงสีหน้าไม่รับแขกไว้ตลอด และบูชาหัวหน้าของเธอราวกับเป็นพระเจ้า
มิแรนดาไม่ได้มองไนเจลเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเพื่อน ด้วยตำแหน่งที่สำคัญและความอาวุโสของเขา ไนเจลกลายเป็นที่พึ่งทางใจของคนในออฟฟิศ แม้จะเป็นคนขี้จิกกัดและพูดอะไรตรงๆ เขาเผยความอบอุ่นใจดีให้กับทุกคนเสมอ เช่น เมื่อแอนดี้ต้องการจะปรับการแต่งตัวให้เป็นไปกับภาพลักษณ์สาวทำงานนิตยสารแฟชั่น เขาก็เป็นคนที่แอนดี้เข้าไปห้องเสื้อเพื่อสอนเธอแต่งตัว
การเดินเข้าสู่ที่ทำงานพาเราเจอกับผู้คนหลากหลาย เอมิลีและไนเจลจะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ บางครั้งพวกเขาเห็นแก่ตัว บ่อยครั้งพวกเขาก็พูดจาไม่เข้าหู แต่ว่าในขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือแอนดี้ในวันที่เธอต้องการที่สุด
ความไม่สมบูรณ์ของพวกเขาไม่ใช่อะไรที่หนังบอกว่าเป็นสิ่งแย่ แต่คือสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ มนุษย์แบบที่เราต่างเคยเจอในที่ทำงานในชีวิตจริง หรือไม่ก็อยากจะเจอ ทั้งพี่ชายใจดีปากร้าย หรือพี่สาวจอมเหวี่ยงที่แม้จะดุเกินไป แต่ก็เป็นแรงสำคัญในการช่วยให้เราผ่านเรื่องแย่ๆ ไปได้
เรามี ‘มิแรนดา’ เป็นของตัวเอง
มองจากทางไกล มิแรนดา พรีสต์ลี โดนวางให้เป็นเหมือน ‘ตัวร้าย’ ของ The Devil Wears Prada บรรณาธิการบริหารนิตยสารแฟชั่นเย็นชา พูดจาไม่น่าฟัง เอาแต่ใจ และมาตรฐานสูงลิ่ว เธอเป็นอุปสรรคหลักของแอนดี้ในการทำงานที่ Runway
พูดกันตามตรง มิแรนดาคือฝันร้ายของลูกน้อง ทุกครั้งที่เธอเดินเข้าออฟฟิศ พนักงานทุกคนเร่งรัดเปลี่ยนชุด หยุดกินข้าว เดินตัวเกร็ง เธอมีความคาดหวังให้ทุกคนรู้ว่าตัวเองควรทำอะไรโดยที่เธอไม่ต้องพูด เธอมีความสนใจในรายละเอียดทุกอย่างตั้งแต่ดีเทลของเสื้อผ้า ไปจนถึงออร์เดอร์กาแฟของเธอ นอกจากนั้นเธอยังมองงานของเธอสำคัญกว่าสิ่งใดในโลก จนไม่เคารพเวลาส่วนตัวของลูกน้องเธอ
แต่ในขณะที่เธอสร้างบาดแผลให้กับผู้คน วิธีการผลักและกดดันลูกน้องของเธอไปให้ถึงขีดจำกัดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายๆ คนกลายเป็นเพชรเม็ดงาม จนแอนดี้เองที่ถูกกระทำจากหัวหน้าสุดโหดก็เผลอปกป้องหญิงคนนี้จากคำวิจารณ์จากคนอื่น แถมยังพูดออกมาว่าเธอเกลียดมิแรนดาไม่ลง
ความเป็นมนุษย์ของมิแรนดาโผล่ออกมาให้เราเห็นในจุดที่เธอตกต่ำที่สุด ความบ้างานของเธอทำให้เธอผลักทุกคนออกไปจากชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ สามี เพื่อนฝูง ลูก ลูกน้อง ฯลฯ แต่เธอยอมแลกสิ่งเหล่านั้นไปเพื่อถือครอง ‘งานที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน’ ความหมกมุ่นของเธอทำให้เธอเป็นที่หนึ่งในสิ่งที่เธอทำ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เธอมองข้ามความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นไปด้วย
แอนดี้และมิแรนดาไม่ได้ไปต่อด้วยกัน แอนดี้รู้สึกตัวเองไม่สามารถ ‘เดินเข้าสู่ด้านมืด’ ได้อย่างเต็มตัว วงการแฟชั่นมีการตลบหลังกันมากเกินไปและเรียกร้องให้เธอเปลี่ยนหัวใจเธอให้เป็นหิน เธอเลือกลาออกแล้วไปสมัครงานกับสำนักข่าวที่อื่นแทน ส่วนความเป็นมนุษย์ที่มิแรนดามีก็ยังไม่สามารถกลบทับความหลงใหลในอุตสาหกรรมแฟชั่นของเธอได้ เธอทำทุกอย่างเพื่อจะรักษาตำแหน่งของเธอไว้โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอีกคน
เราต่างมี ‘มิแรนดา’ เป็นของตัวเอง คนที่ผลักดันเราจนเราทนไม่ไหว คนที่เราเอาไปบ่นให้แฟนฟังทุกวันที่กลับบ้าน แต่ก็ยังต้องต่อรองกับคำว่า ‘เกลียด’ อยู่ดี เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เราเกลียดเขาก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้พัฒนาในวิชาชีพด้วย แม้เราจะไม่ชอบ เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามิแรนดามีตัวตนอยู่ในชีวิตจริง และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ คือการเก็บเกี่ยวหาสิ่งดีๆ ในประสบการณ์โหดร้ายนี้ให้ได้ นั่นทำให้เรื่องราวของแอนดี้และมิแรนดาใกล้หัวใจของเราอย่างมาก
สิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้คือการเฝ้ารอว่าภาคต่อจะเล่าอะไร เพราะแน่นอนว่ามันต้องมีเหตุผลให้พวกเขาโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งแน่ๆ
บทความต้นฉบับได้ที่ : “Everyone wants to be us.” แม้จะผ่านมาเกือบ 20 ปี ทำไมเรายัง ‘อิน’ The Devil Wears Prada เสมอ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- World Ranger Day ‘คนธรรมดา’ ก็เป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าเช่นเดียวกัน
- ในความขัดแย้งเราอาจต้องการกองทัพที่มีคุณภาพและความมั่นคง แต่การเพิ่มอาวุธ-กองกำลังไม่ใช่คำตอบเดียว
- ดาบสองคมของ ‘จิตดลบันดาล’ รู้จักเหรียญสองด้านของแนวคิด ‘Manifestation’
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath