เพราะเป้าหมายสูงสุดของสังคม ไม่ใช่การมี ‘อินฟลูเอนเซอร์’ มาคอยดับไฟปัญหา แต่คือการสร้างสังคมที่แข็งแรงจนไม่มีไฟให้ต้องคอยดับ
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากข่าวสถานการณ์ที่ตึงเครียดและสร้างความหวาดกังวลให้ประชาชนแล้ว หนึ่งสิ่งที่โดดเด่นออกมาในโลกออนไลน์คือเนื้อหาและความเห็นจาก ‘อินฟลูเอนเซอร์’
เมื่อเราตกอยู่ในจุดที่คาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ หลายคนอาจร้อนใจและอยากจะได้ ‘คำตอบไวๆ’ ทั้งคำตอบว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อไหร่ ประเทศของเราจะรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ไหม ไปจนถึงหน่วยงานต่างๆ จะจัดการอย่างไร ความร้อนใจพวกนี้มักเร่งอารมณ์ความรู้สึกของเราให้เข้มข้น บางครั้งอาจผลักให้เราต้องคอยติดตามว่าใครพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง บางครั้งอาจผลักให้เราแสดงความโกรธออกมา
และหลายครั้ง มันทำให้เราหันไปหา ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ที่มักตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉับไวกว่า
อินฟลูเอนเซอร์ที่ออกมาแสดงความเห็น ไปจนถึงออกแอคชันบางอย่างในสถานการณ์วิกฤต เป็นเรื่องที่มองได้หลายมุมและเป็นที่ถกเถียงมาตลอด
ในแง่หนึ่ง เมื่อคนธรรมดารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือเรื่องราวของพวกเขาถูกเพิกเฉยจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ผู้คนจะมองหา ‘ที่พึ่ง’ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาคประชาชน มูลนิธิ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่กล้าออกมาแฉความไม่ถูกต้อง ทวงคืนความยุติธรรมให้คนตัวเล็ก ลองนึกถึงยามเกิดภัยพิบัติ หลายครั้งบุคคลที่เร่งเข้าไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนได้ก่อนก็เป็นหน่วยงานภาคประชาชน หรือเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความตั้งใจดีต่างๆ
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้ง ‘ที่พึ่ง’ ก็ถูกแปลสถานะให้เป็นเหมือน ‘ฮีโร่’ ผู้ไร้ที่ติ หรือ ‘ศาลเตี้ย’ ผู้มีสิทธิตัดสินถูกผิดได้เหมือนกัน
การกระทำของอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นการทำความดี ช่วยเหลือสังคม หรือต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่อง ‘คุณธรรม’ จนบางครั้งเราก็เผลอมอบบทบาทให้พวกเขาเป็น ‘ฮีโร่’ ที่จะพิสูจน์ว่าความดีต้องชนะความชั่ว และการติดตามสนับสนุนฮีโร่เหล่านี้ด้วยวิธีต่างๆ ก็อาจเปรียบเสมือนการสนับสนุนคนที่มีคุณธรรม หรือสนับสนุนให้ ‘ฝ่ายดีเป็นฝ่ายชนะ’ ไปด้วย
แน่นอนว่า ผู้ทำความดีควรได้รับการแสดงคำขอบคุณ หรือการยกย่องในการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่สถานการณ์ที่น่ากังวลคือเมื่อฮีโร่ได้รับความศรัทธามากเกินไป จนกลายเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้
เพราะการที่เราศรัทธาในตัวอินฟลูเอนเซอร์ หรือให้การสนับสนุนในทันทีทันใด แม้จะมาจากเจตนาอันดี มันก็อาจทำให้เรามองข้ามการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่รอบด้าน หรือเผลอลืมตั้งคำถามต่อแนวคิดของอินฟลูเอนเซอร์ในสังคมเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของฮีโร่ถูกมองเป็นการโจมตีจาก ‘ฝ่ายชั่ว’ จนอาจนำไปสู่การล่าแม่มดหรือสร้างความเสียหายให้ผู้ที่ยังไม่ถูกตัดสินว่าผิดด้วย
นอกจากนี้ เรายังต้องพิจารณาเงื่อนไขสำคัญอีกข้อ นั่นคือ ‘อัลกอริทึม’ หรือรูปแบบของเนื้อหาต่างๆ ที่โซเชียลมีเดีย ‘เลือกให้ค่า’ ว่ามันมีผลกับการมองเห็นและเข้าถึงข้อมูลของเรา และยิ่งไปกว่านั้นคือมีผลกับการมองเห็นและเข้าถึงข้อมูลของอินฟลูเอนเซอร์ที่เราสนับสนุนด้วย
กลไกของโซเชียลมีเดียอาจมีส่วนกำหนดว่าใครควรจะได้รับความช่วยเหลือ เช่น ผู้มีเรื่องราวดราม่าจนเป็นไวรัลอาจถูกมองเห็นมากกว่า และเป็นผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก ทั้งที่แท้จริงแล้วอาจมีผู้ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนกว่า สถานการณ์นี้อาจแล้วกันใหญ่ หากอินฟลูเอนเซอร์ก็คัดเลือกการให้ความช่วยเหลือโดยอิงกับกลไกแบบเดียวกัน
ทั้งหมดทำให้ความช่วยเหลืออาจไม่ได้ถูกกระจายตามความจำเป็นเร่งด่วนที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องของใครจะถูกอัลกอริทึมเลือก เรื่องของใครจะถูกใจอินฟลูเอนเซอร์คนไหน นี่คือความช่วยเหลือแบบสุ่มที่สามารถทิ้งคนเดือดร้อนเงียบๆ อีกมหาศาลไว้ข้างหลัง
หลายคนอาจบอกว่า แม้จะพิจารณาเรื่องนี้แล้วก็ยัง ‘คุ้มค่า’ อยู่ดี ที่จะสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ ในเมื่อเขาเป็นผู้ที่เข้าถึงปัญหาได้เร็วกว่า ตรงจุดกว่า ดีกว่าต้องนั่งรอการดำเนินการของภาครัฐที่มีหลายขั้นหลายตอนจนทำให้ ‘ล่าช้า’
จริงอยู่ที่การแก้ปัญหาได้เร็ว เป็นสิ่งที่ประชาชนควรจะคาดหวังได้ แต่การมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้อินฟลูเอนเซอร์ ก็อาจทำให้แรงกดดันที่ควรจะพุ่งตรงไปยังหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงลดน้อยลง การที่เราหยุดเรียกร้องจากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ อาจทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติที่รัฐจะทำงานช้า หรือบกพร่องในหน้าที่ เพราะสุดท้ายแล้วก็มีคนอื่นมาคอย ‘ซ่อม’ ปัญหาให้เสมอ
หากเป็นเช่นนั้นพลังงานและทรัพยากรของสังคมอาจถูกใช้ไปกับการ ‘เฉลิมฉลอง’ กับผลงานของเหล่าฮีโร่ มากกว่าการตั้งคำถามถึงความจำเป็นที่เราต้องมีฮีโร่ – คำถามที่ว่าทำไมผู้ได้รับความเดือดร้อนถึงต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน? ทำไมระบบของรัฐถึงไม่สามารถแก้ไข-รองรับปัญหาได้?
ความโดดเด่นของอินฟลูเอนเซอร์สายฮีโร่ในสถานการณ์ความขัดแย้งไทยกัมพูชาล่าสุด คือดัชนีชี้วัดสภาพสังคมที่สำคัญอย่างหนึ่ง มันอาจบอกเราว่าประชาชนกำลังโหยหาความยุติธรรม ขาดที่พึ่ง และสิ้นหวังกับสถาบันหลัก แต่ขณะเดียวกัน ยิ่งมันสะท้อนความอ่อนแอของโครงสร้างสังคมอย่างชัดเจนเท่าไหร่ มันก็อาจยิ่งทำให้เราต้องตั้งคำถามต่อให้ชัดถ้อยชัดคำมากขึ้นเท่านั้น
จากคำถามที่ว่า "เราจะบริจาคให้ใครดี?" อาจมาพร้อมกับ "ทำไมคนเหล่านี้ถึงยังต้องรอรับบริจาค?"
จากพลังการแชร์เพื่อชื่นชมบุคคล อาจมาพร้อมพลังการแชร์เพื่อกดดันและตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
จากความดีใจที่เห็น ‘คนดี’ ช่วยเหลือคนอื่น อาจมาพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคม ที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและมีศักดิ์ศรี
เป้าหมายสูงสุดของเรา ไม่ใช่การมีฮีโร่มาคอยดับไฟเฉพาะหน้า แต่คือการสร้างสังคมที่แข็งแรงพอที่จะไม่มีไฟให้ต้องดับตั้งแต่แรก หรืออย่างน้อยก็มีระบบป้องกันและจัดการที่ดีพอสำหรับทุกคน
เพราะถึงที่สุดแล้ว เราอาจไม่ได้ต้องการอยู่ในสังคมที่รอคอยฮีโร่มาช่วยดับไฟให้ตลอดเวลา
บทความต้นฉบับได้ที่ : เพราะเป้าหมายสูงสุดของสังคม ไม่ใช่การมี ‘อินฟลูเอนเซอร์’ มาคอยดับไฟปัญหา แต่คือการสร้างสังคมที่แข็งแรงจนไม่มีไฟให้ต้องคอยดับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 21-26 กรกฎาคม 2568
- From 1st to 5th Gen of K-POP ในยุคอิ่มตัวของเคป๊อป? อะไรคือความท้าทายที่ไอดอลเจน 5 ต้องเผชิญ
- วิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในภูมิรัฐศาสตร์โลก สหรัฐฯ จีน และอาเซียน มีบทบาทอย่างไร
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath