คุยกับ อดิศร เกิดมงคล ในวันที่แรงงานกัมพูชาต้องติดอยู่ในความขัดแย้งและความ ‘เป็นอื่น’
ภาพ : จิตติมา หลักบุญ
เมื่อความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาลุกลามสู่กระแสความเกลียดชังในชีวิตประจำวัน สิ่งที่น่าหวั่นใจก็พลันเกิดขึ้น
เสียงเคาะประตูยามวิกาลไม่ใช่สัญญาณของมิตรภาพอีกต่อไป แต่คือการคุกคามเพื่อค้นหาว่าใครคือ ‘แรงงานกัมพูชา’
แป้งทานาคาไม่ได้เป็นเพียงวิถีชีวิต แต่คือ ‘เกราะกำบัง’ ที่แรงงานกัมพูชาต้องใช้เพื่อแสดงตนเป็น ‘คนพม่า’
นี่คือสถานการณ์จริงที่แรงงานกัมพูชาในไทยกำลังเผชิญหน้า บางคนถูกทำร้ายร่างกาย บางคนต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องพักโดยมีนายจ้างคอยส่งข้าวส่งน้ำ และอีกหลายคนจำต้องสวมรอยเป็นคนพม่าเพื่อเอาชีวิตรอด
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวชายแดน แต่ได้ขีดเส้นแบ่งที่มองไม่เห็นขึ้นในใจผู้คน ส่งผลให้เพื่อนบ้านกลายเป็นศัตรู และแรงงานที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปีต้องตกอยู่ในสถานะ ‘คนอื่น’
ไทยรัฐพลัสชวน อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) มาสนทนาถึงชีวิตแรงงานกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับความรุนแรง การถูกคุกคาม และอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประชาชนที่เคยพึ่งพิงกันมายาวนาน พร้อมตอบคำถามว่า เรา และ รัฐ ทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์นี้
Q: ชีวิตของแรงงานกัมพูชาในไทยท่ามกลางความขัดแย้งครั้งนี้เป็นอย่างไร พวกเขาหวาดกลัวหรือเจอการคุกคามในรูปแบบไหนบ้าง
ช่วงที่เริ่มมีความขัดแย้งและปิดด่านแรกๆ มันก็ยังไม่มีความรุนแรงมากนัก การเดินทางกลับประเทศค่อนข้างน้อย แต่มาหนักในช่วงที่มีการปะทะ มีกระแสเกลียดชังแรงงานกัมพูชาขึ้นมา และเริ่มมีความรุนแรงในรูปแบบการทำร้ายร่างกาย
เท่าที่แรงงานให้ข้อมูลเรามา พบว่าบางคนเข้าไปคุกคามพวกเขาถึงที่พัก เข้าไปเคาะห้องพักเพื่อดูว่ามีแรงงานกัมพูชาอยู่ไหม บางกรณีก็เป็นข่าว เช่น เหตุการณ์ทำร้ายร่างกายแรงงานกัมพูชาที่มีนบุรี เป็นเคสเดียวที่แจ้งความ ที่เหลือก็อาจหนักคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีการแจ้งความ
โซนที่เราเจอปัญหาหนักๆ คือกรุงเทพฯ มีนบุรี และสมุทรปราการ เหล่านี้เป็นโซนอุตสาหกรรมทำให้มีแรงงานกัมพูชาเยอะหน่อย ส่วนพื้นที่ที่เป็นตลาด บางจุดก็เริ่มมีการคุกคามบ้าง
ตอนนี้คนงานเริ่มกลัวสองแบบ แบบแรกคือกลัวคนไทยทำร้าย แบบที่สองคือกลัวเจ้าหน้าที่มาจับ ทำให้เคสไหนที่โดนคุกคามก็อาจจะไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ และที่สำคัญก็คือมันเป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างการต่อใบอนุญาตทำงาน ทำให้เอกสารของหลายคนยังไม่ครบ พอไม่ครบ แม้ว่าในทางกฎหมายจะยังทำงานได้ แต่เจ้าหน้าที่เขาอาจจะเข้ามาขู่เป็นระยะๆ ทำให้มีแรงงานเดินทางกลับกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น
เรายังไม่มีตัวเลขฝั่งไทยที่บอกได้ชัดเจนว่ามีการเดินทางกลับไปทั้งหมดเท่าไหร่ แต่เท่าที่ทราบ จนถึงวันที่ 30 ก.ค. น่าจะเกือบๆ 300,000 คน ด่านที่คนเดินทางออกไปมากที่สุดคือด่านที่จังหวัดจันทบุรีและสระแก้ว ส่วนวันที่ 31 ก.ค. ก็น่าจะมีแรงงานเดินทางกลับเพิ่มเพราะเงินเดือนออกแล้ว
Q: คนที่ยังตัดสินใจอยู่ประเทศไทยต่อ เขารับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
ตอนนี้ที่แรงงานแจ้งมาก็คือ นายจ้างหลายคนเริ่มให้กักตัวคล้ายๆ กับช่วงโควิด คือให้ไปอยู่ในห้องพักสักที่หนึ่งแล้วก็ส่งอาหารให้ บางเจ้าก็จะมีมาตรการเพิ่มขึ้นมา คือให้ทำงานปกติ แต่เลิกงานเร็วขึ้น และช่วงกลางคืนจะไม่ให้ไปไหน ให้อยู่ในที่พัก
วันก่อนผมไปดูที่ซอยแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะมีแรงงานกัมพูชาค่อนข้างมาก ก็เงียบไปเลย บ้านเช่าและอาคารทั้งหลายแหล่ก็ปิดไฟมืดหมด
Q: มีแรงงานที่ต้องพยายามปกปิดเชื้อชาติตัวเองเพราะหวาดกลัวไหม
มีครับ เราเข้าใจว่ากลุ่มที่กระทำความรุนแรงกับแรงงานกัมพูชารอบนี้คือกลุ่มเดิมกับที่เคยไปไล่ตามจับแรงงานพม่ามาก่อน แต่พอเกิดการปะทะกันของไทยกัมพูชา แรงงานกัมพูชาหลายคนกลับเริ่มแสดงตัวเป็นคนพม่า เริ่มทาแป้งทานาคา โดยทั้งแรงงานพม่าและกัมพูชาเขาก็ช่วยๆ กัน ความเป็นพม่ากลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับแรงงานข้ามชาติไปแล้วตอนนี้
สิ่งที่เราห่วงคือ มีบางโซนที่ไม่ได้มีแค่แรงงาน แต่มีผู้ลี้ภัยทางการเมืองเข้ามาด้วย เมื่อมาตรการของรัฐเข้มงวดขึ้น บางโซนก็ให้เจ้าหน้าที่รัฐไปจับตามองในพื้นที่ว่ามีคนกัมพูชากี่คน มีการเคลื่อนไหวอะไรไหม นำมาซึ่งปัญหาสองส่วน หนึ่งคือคนไทยในพื้นที่เริ่มไม่สบายใจ เราเจอว่าจ้าของหอพักเริ่มจะไม่ให้คนกัมพูชาเช่า คล้ายกับตอนโควิดที่พอรู้ว่าผู้เช่าเป็นแรงงานข้ามชาติก็จะให้ออก สองคือเจ้าหน้าที่ลงตรวจพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งจะไม่มีเอกสาร และเขากลัวว่าหากถูกจับหรือถูกส่งกลับกัมพูชา เขาจะเดือดร้อน ถือว่าเรื่องนี้มีผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
Q: ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่พุ่งตรงไปที่แรงงานกัมพูชา จริงๆ แล้วแรงงานชาติอื่นได้รับผลกระทบด้วยไหม
มีความกลัวเพิ่มมากขึ้นครับ เพราะมีเคสที่แรงงานไทใหญ่ถูกทำร้ายร่างกายเพราะคนที่ทำร้ายคิดว่าเป็นคนกัมพูชา คือถูกถามว่าเป็นคนกัมพูชาไหม เขาก็ปฏิเสธไป แต่เมื่อเป็นการถามบนฐานความไม่เชื่อใจ มันก็นำไปสู่การทำร้ายร่างกายอยู่ดี ก็จะเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น
อีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบก็คือตัวนายจ้าง อย่างเคสที่มีนบุรีซึ่งลูกจ้างเขาถูกทำร้าย พอไปแจ้งความ อีกวันหนึ่งลูกจ้างเขาอีกประมาณ 20 คนซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างกลับบ้านหมดเลย พอเป็นอย่างนี้ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการต่อเบี้ยการทำงานเป็นเงินเกือบ 200,000 บาท ก็เสียไปโดยทำอะไรต่อไม่ได้ และทำให้เขารับงานไม่ได้ ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดเจน
Q: สถานการณ์ความขัดแย้งดำเนินมาเป็นระยะเวลาพักใหญ่แล้ว ในสายตาของคุณอะไรเป็นเงื่อนไขให้ความกลัว หรือการตัดสินใจกลับบ้านยกระดับขึ้น
ผมคิดว่ามันเริ่มจากกระแสในโซเชียลมีเดียที่มีการทำคอนเทนต์ไล่ล่าคนกัมพูชา หรือภาพข่าวที่เกิดการทำร้ายร่างกายอย่างชัดเจน มันทำให้คนตัดสินใจเดินทางกลับง่ายขึ้น
จริงๆ ตอนที่มีการปิดด่านครั้งแรก ก็มีคนถามผมว่าแรงงานกัมพูชาในไทยจะกลับบ้านไหม ผมก็ประเมินว่าไม่กลับ ซึ่งสาเหตุที่คนกัมพูชาจะกลับมีอยู่สองสาเหตุ หนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย สอง มีข่าวลือซึ่งทำให้ครอบครัวที่กัมพูชาโทรมาบอกให้กลับ เราจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ช่วงแรกไม่มีทั้งสองสาเหตุนี้เลย ไม่มีทั้งความรุนแรง ไม่มีทั้งข่าวลือ แต่พอเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น ข่าวลือก็กระจายเร็ว ทำให้คนทยอยกลับเพิ่มมากขึ้น
Q: เป็นที่พูดถึงอย่างมากในช่วงนี้ว่าข่าวในกัมพูชา และข่าวในไทยมีมุมมองแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แรงงานกัมพูชาในไทยเขาจัดการกับข้อมูลที่แตกต่างกันมากนี้อย่างไร
ต้องบอกว่าแรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่ได้อยากจะกลับบ้านเพราะการกลับไปกัมพูชาไม่ได้มีหลักประกันอะไรว่าจะดีขึ้น ผมประเมินว่าเขาได้รับข่าวทั้งสองฝั่ง ข่าวกัมพูชาด้วย ข่าวไทยด้วย คนงานทั่วไปตอนแรกเขาก็ยังคิดว่าความรุนแรงจะไม่ขยายมาก และอาจไม่มีปัญหาอะไร ถามว่ามีคนกัมพูชาที่เชื่อรัฐบาลกัมพูชาไหม ผมคิดว่ามีแหละ มีจำนวนหนึ่งที่เชื่อและมีแอ็กชันอะไรบางอย่าง แต่ว่าคนทั่วไปน่าจะไม่ได้เชื่อขนาดนั้น
ผมคิดว่าคนกัมพูชาจำนวนหนึ่งมีความไม่พอใจรัฐบาล ไม่พอใจตระกูลฮุน เซนอยู่พอสมควร โดยประสบการณ์ของคนงานหลายคนก็รู้สึกว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เคยจริงใจกับเขาเลย เวลามีเรื่องเอกสารพวกเขาก็จะถูกเก็บค่าเอกสารแพง แต่พอสถานการณ์ในฝั่งไทยลุกลามเรื่อยๆ มันก็ทำให้เขาตัดสินใจว่า ข่าวอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว สถานการณ์เฉพาะหน้ามันทำให้เขาต้องตัดสินใจกลับบ้าน
Q: คุณบอกว่าในช่วงแรก คุณไม่ได้คาดไว้ว่าแรงงานกัมพูชาจะเดินทางกลับบ้านเยอะเท่านี้ มองย้อนกลับไปในสถานการณ์ความขัดแย้งช่วงนั้น จริงๆ หน่วยงานรัฐควรออกแอ็กชันอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเดินทางกลับและสูญเสียแรงงานไหม
จริงๆ ที่เราพยายามเตือนรัฐบาลและกระทรวงแรงงานมาตลอดก็คือ ท่าทีที่สื่อออกมามันต้องชัดตั้งแต่แรก เรื่องแรกคือการบอกว่าจะคุ้มครองแรงงานทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ตามกฎหมาย ซึ่งส่วนนี้เราเห็นชัดตอนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมาให้ข่าวว่า การทำร้ายร่างกายเป็นความผิดทางอาญา แต่ว่าท่าทีจากรัฐบาล หรือโฆษกรัฐบาลต่อเรื่องนี้ไม่ได้ชัดมาตั้งแต่แรก มันจึงทำให้มีคนที่กระทำความรุนแรงได้
เรื่องที่สองคือ การเสนอให้พยายามควบคุมไม่สร้างความเกลียดชังผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งผมก็เชื่อว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ก็ยังปล่อยให้เกิดขึ้น มันก็เลยมีปัญหา จริงๆ เราก็คาดหวังว่าตำรวจไซเบอร์จะมีมาตรการ อย่างน้อยก็เข้าไปตักเตือนหรือปิดโพสต์ แต่พอไม่มีมันก็แพร่กระจาย ที่สำคัญคือทั้งกัมพูชาและไทยก็สร้างข่าวปลอมขึ้นมาและทำให้ข่าวปลอมแพร่ไปในกลุ่มประชาชน
ตอนแรกที่มีการปิดด่าน เราคาดหวังว่ากระทรวงแรงงานและรัฐบาลจะพูดชัดกว่านี้ แต่สิ่งที่มันกลายเป็นตรงกันข้าม กระทรวงแรงงานกลับมีข้อสั่งการให้จังหวัดหรือพื้นที่เร่งตรวจสอบว่ามีคนจ้างแรงงานกัมพูชากี่คน ให้จับตามองว่าถ้าเกิดมีการเคลื่อนไหวให้แจ้งมาทันที และเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ของแต่ละจังหวัด เราก็กังวลว่าถ้าเป็นแบบนี้ เท่ากับว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่หยิบเรื่องนี้ไปขยายต่อว่า นี่ไง พวกแรงงานกัมพูชามันมีปัญหา เขาถึงให้จับตามองเป็นพิเศษ
Q: พอเกิดการให้จับตาแรงงานกัมพูชา นายจ้างก็คงจะกังวลไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใช่ครับ เราพบเคสเลิกจ้างบ้างนิดหน่อย ในกรณีที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ตลาด แต่โดยภาพรวมเราไม่เห็นการเลิกจ้าง มีแต่แรงงานที่ตัดสินใจกลับ ซึ่งนายจ้างเขาก็ไม่ได้อยากให้แรงงานกลับหรอก เพราะแนวโน้มที่จะกลับมาทำงานอีกไม่ได้มันสูง เพราะสถานการณ์ชายแดนมันเป็นอย่างนี้
Q: ช่วงนี้หลายคนอาจพยายามจะสร้างความรู้สึกฮึกเหิม โดยมองว่าประเทศไทยคือประเทศที่ไม่ต้องง้อกัมพูชาหรือแรงงานกัมพูชา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างที่คนคิดไหม ความจำเป็นของการมีแรงงานข้ามชาติในไทยคืออะไร
จริงๆ ตามสถิติ มีแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องประมาณ 500,000 กว่าคน และมีกลุ่มที่มาทำงานชั่วคราวหรือระยะสั้นตามความจำเป็นอยู่อีกจำนวนหนึ่ง เช่น แรงงานช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ดังนั้นจริงๆ แล้ว แรงงานกัมพูชาเป็นฐานของการผลิตในประเทศไทยอยู่หลายกิจการ ทั้งก่อสร้าง การแปรรูปอาหารหรือสินค้าการเกษตร หรืองานบริการบางส่วน เพราะฉะนั้นหากขาดแรงงานกัมพูชา มันจะทำให้อัตราความต้องการแรงงานในไทยเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ตามมาคือการต้องหามาตรการมารองรับ
สำหรับผมมันไม่ควรเกิดตั้งแต่แรก ไม่ควรมีปัญหานี้ตั้งแต่แรก เพราะเราก็อยู่ด้วยกันมานาน แรงงานกัมพูชาเริ่มทำงานในประเทศไทยจริงๆ มาตั้งแต่เกือบสามสิบปีก่อน อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันมาตลอด ผมเข้าใจว่าแรงงานกัมพูชาจำนวนหนึ่งก็มีครอบครัวในไทย สิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองฝั่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู อาจจะมีสิ่งติดค้างในใจ และระยะยาวมันอาจจะเป็นความรุนแรงที่สะสมไปเรื่อยๆ มีอะไรนิดๆ หน่อยๆ ความรุนแรงก็อาจจะเกิดขึ้นได้ง่าย นี่เป็นเรื่องที่อยากให้ระวัง
อีกอย่างคือ การกระทำของคนบางกลุ่มทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียเปรียบในมิติระหว่างประเทศทันที เพราะสิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ หลังจากที่มีเหตุการณ์ความขัดแย้ง กระทรวงแรงงานกัมพูชาก็ทำหนังสือถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลายแหล่ รวมไปถึงบริษัทผู้ซื้อ ซึ่งเท่ากับประกาศว่าประเทศไทยละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเห็นได้ชัด และในมุมมองการค้าโลกปัจจุบันเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้ความรุนแรงจริง ก็อาจทำให้ประเทศไทยถูกกีดกันทางการค้ามากขึ้น ทำให้เราเสียเปรียบในทางการเมืองระหว่างประเทศได้ค่อนข้างง่าย
ความรักชาติมันมีได้ แต่อย่าให้มันลุกลามกลายเป็นการที่ประชาชนทำร้ายซึ่งกันและกัน เพราะมันจะเกิดผลกระทบต่อประเทศและความสัมพันธ์ระยะยาว ยังไงท้ายที่สุด เราก็ไม่สามารถหนีซึ่งกันและกันได้ ไทยกัมพูชาก็อยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งนาน และในระยะยาวมันก็ต้องอยู่ด้วยกันต่อไป ในเชิงชายแดน เราก็พึ่งพาซึ่งกันและกัน มีการเข้าออก คนไทยก็เข้าไปทำงานในกัมพูชา คนกัมพูชาก็เข้ามาทำงานในไทย ถ้าเราสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในระยะยาว มันจะกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่แน่
Q: คุณคิดว่าอะไรทำให้ความรักชาติมันสามารถบิดไปเป็นความเกลียดชังในระดับบุคคลหรือประชาชนด้วยกันได้ขนาดนี้
ผมคิดว่าปัญหาหลักคือกระแสในโซเชียลมีเดีย การพยายามขยายความขัดแย้งในเชิงการทหารและการเมืองให้กลายเป็นความขัดแย้งของประชาชน ในโซเชียลมีเดียมันทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย เพียงแค่มีข้อมูลบิดเบือนนิดๆ หน่อยๆ ถูกเผยแพร่ต่อ เช่น มีคนเอารูปเก่าของคนกัมพูชาซึ่งไปที่ปราสาทตาเมือนธมมาแชร์ แล้วก็บอกว่านี่คือแรงงานกัมพูชาในไทยที่ไปก่อความขัดแย้ง ทำให้เกิดการไล่ล่าซึ่งกันและกัน กระแสมันปลุกง่าย สิ่งหนึ่งที่เราอยากให้คนไทยตระหนักก็คือ อย่าไปสร้างความชอบธรรมให้กระแสแบบนี้ เพราะเอาเข้าจริงเราอาจจะยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นยังไง พอมันถูกเร้าได้ง่าย มันก็ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ
จริงๆ คนไทยกับคนกัมพูชาเราก็ต่างมีมุมมองทั้งชอบและไม่ชอบซึ่งกันและกันในส่วนบุคคล แต่ถ้าเกิดทะเลาะกัน ผมอยากให้มองว่า เราเคยพึ่งพาซึ่งกันและกันมาตลอด คนกัมพูชาเขาก็รู้สึกว่าอยู่ประเทศไทยแล้วมีความสุข เขาก็เก็บเงินส่งกลับบ้านได้ และสำหรับผมในระยะยาวยังไงเราก็ต้องพึ่งแรงงานข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชาหรือจากไหนก็ตาม เพราะประเทศเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว จำนวนแรงงานเราลดแน่ๆ โอกาสที่เราจะพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีก็ยังค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเมื่อเราต้องพึ่งพากันอีกยาว 10-20 ปีข้างหน้าเราอยู่ด้วยกันแน่ๆ มันจึงจำเป็นต้องสร้างสังคมที่อยู่ด้วยกันให้ได้
เรื่องของชายแดนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเกิดความขัดแย้งควรนำไปสู่การพูดคุยการเจรจาให้ได้มากที่สุด ผมคิดว่าปัญหาเรื่องเขตแดนไม่สามารถแก้ได้ในสัปดาห์นี้หรือเดือนนี้แน่ๆ และเราก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเขตแดนเฉพาะกับกัมพูชานะ เรายังมีเขตแดนที่ปักปันไม่ได้ในฝั่งพม่าเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ กับลาวเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นยังไงเราก็จะเจอปัญหาเรื่องเขตแดนอย่างนี้แหละ กระบวนการที่ดีจึงไม่ใช่การมารบหรือทำร้ายซึ่งกันและกัน การสู้รบไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าทุกอย่างจะจบ ทุกอย่างควรต้องนำไปสู่กระบวนการเจรจา ผมอยากให้คนไทยมองในแง่นี้
ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ การโตเดี่ยวๆ จะเป็นผลลบกับเรามากกว่า ถ้าประเทศไทยเจริญทางเศรษฐกิจประเทศเดียว มันก็ดึงคนให้ไหลเข้าไทยอยู่แล้ว แต่ถ้าเราสามารถจะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน การที่แรงงานกัมพูชาได้ส่งเงินกลับบ้าน มันก็ไปต่อยอดเศรษฐกิจของกัมพูชาแน่ๆ ดังนั้นถ้าเรามองการโตร่วมกันในระยะยาว เราจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สามารถต่อรองกับมหาอำนาจได้พอสมควรเหมือนกัน อยากจะให้มองมิติระยะยาวกันครับ
Q: พอคิดตามอย่างที่คุณว่ามา ดูเหมือนมันจะเป็นคอนเซ็ปต์ที่เรียบง่ายจริงๆ แต่ทำอย่างไรเราถึงจะหลุดจากข้อถกเถียงในทำนองเธอทำแบบนี้ ฉันก็ต้องตอบโตแบบนั้น เธอแรงมา ฉันต้องแรงกลับ ทำอย่างไรเราถึงจะมองความสัมพันธ์ที่เติบโตร่วมกันได้ล่ะ
คือการคิดแบบนี้มันเหมือนกับเรามองว่า ก็เธอเริ่มทะเลาะกับฉันก่อนนี่ สักพักพอเราทะเลาะกันมากขึ้น ก็จะบอกว่าเธอต้องหยุดก่อน ถ้าเธอไม่หยุด ฉันก็จะไม่หยุด เมื่อทั้งสองฝั่งมองแบบนี้ ท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นเรื่องที่ลุกลามระยะยาว ทั้งนี้ผมจึงหวังว่า การเจรจารอบนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะหยุดความขัดแย้ง
ผมก็ประเมินตามการมองดูความขัดแย้งที่ผ่านมา ผมว่าการเจรจาหยุดยิงเป็นแค่ขั้นต้น และมีโอกาสที่เราจะขัดแย้งกันต่ออีกยาวๆ พอสมควร ผมเลยคิดว่าอยากให้เราหยุดความขัดแย้งไว้ตรงที่รัฐกับรัฐมากกว่า เราอย่ามาขยายมายังประชาชนเพราะมันจะไม่จบง่ายๆ
Q: เดิมทีประเด็นเรื่องแรงงานข้ามชาติ กระทั่งการเปิดให้ผู้หนีภัย-ผู้ลี้ภัยมาเป็นแรงงานก็เป็นเรื่องที่พูดคุยถกเถียงกันมาตลอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังอเมริกายุติการช่วยเหลือต่างประเทศ พอเกิดความขัดแย้งไทยกัมพูชาขึ้น มันจะทำให้การทำงานเรื่องนี้ยากขึ้นด้วยไหม
ในแง่การทำงานกับแรงงานข้ามชาติยากขึ้นแน่ๆ เพราะเท่าที่ผมทราบมา จริงๆ มันมีงานหลายงานที่ประเทศเราต้องทำในเรื่องแรงงานข้ามชาติ ทั้งฝั่งไทยพม่า และไทยกัมพูชา ผมเข้าใจว่าตอนนี้หน่วยงานต่างๆ ต้องหยุดงานเหล่านี้ไปก่อน ส่วนภาคประชาสังคมทั้งหลายก็จะระแวดระวังมากขึ้นในแง่การลงพื้นที่ มันทำให้เรามีปัญหาแน่ๆ
ส่วนประเด็นเรื่องผู้ลี้ภัยออกมาทำงาน ตอนนี้สิ่งที่เรากังวลใจก็คือ ประเด็นขัดแย้งต่างๆ จะทำให้เรื่องนี้ถูกยืดเวลาออกไป แต่การยืดเวลาออกไปมันไม่ได้ตอบโจทย์ เท่าที่ผมทราบคือน่าจะมีการให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน แต่ผมเชื่อว่าผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาจะมีผลต่อการตัดสินใจออกแบบวิธีการแน่ๆ เช่น อาจจะเปิดให้ทำงานโดยมีข้อจำกัดต่างๆ
อีกประเด็นคือ ผมพบว่าหลังๆ มารัฐเริ่มมองกระแสชาตินิยมแบบกลัวมากขึ้น การจะทำอะไรหลายอย่างจึงระแวดระวังขึ้น เช่น หากเขามองว่าถ้าคนไทยไม่พอใจ ก็จะนำไปสู่ปัญหาที่ยุ่งยากในการบริหารประเทศหรือไม่ หรืออยากตัดประเด็นที่จะทำให้ความมั่นคงทางการเมืองสั่นคลอน
Q: ความคิดหนึ่งที่คนทำงานเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติมักจะต้องต่อรอง ให้คำอธิบาย ไปจนถึงต่อสู้ คือแนวคิดว่าเราควรจะรักษาผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งทำให้หลายคนต่อต้านการเข้ามาของแรงงานข้ามชาติตามไปด้วย ในฐานะที่คุณทำงานเรื่องนี้มายาวนาน อยากรู้ว่าคุณอธิบายเรื่องผลประโยชน์ของชาติแบบที่ไม่กีดกัน ต่อต้าน หรือเกลียดชังแรงงานข้ามชาติอย่างไร
ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายมองผลประโยชน์ของชาติทั้งคู่ คนทำงานเรื่องแรงงานข้ามชาติอย่างเราคิดเรื่องผลประโยชน์ของชาติในเรื่องเศรษฐกิจระยะยาว เพราะโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยมันคือประชากรไทยจะลดลงแน่ๆ อีกประมาณ 20 ปี เราจะเหลือประชากรแค่ครึ่งเดียวถ้าเกิดสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้อยู่ และมันจะกระทบความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจดำเนินไปต่อได้
จริงๆ เราพยายามจะขยายมิติเรื่องผลประโยชน์ของชาติให้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลัง แต่พอเกิดสถานการณ์ขัดแย้งแบบนี้ คำว่าผลประโยชน์ของชาติมีสองมิติกระทบกัน สิ่งที่เราอยากให้มานั่งคุยกันก็คือ คำว่าผลประโยชน์ของชาติมันมีกี่ด้านกี่มุมที่ควรจะพิจารณา และเราจะหาทางออกร่วมกันยังไง
หลังๆ มาผมเริ่มมองว่า คนที่ต่อต้านแรงงานข้ามชาติ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจนะ แต่เขาเข้าใจในมิติที่เขาเห็นเท่านั้น บางทีมันอาจจะต้องคุยกันเพิ่มมากขึ้นว่า ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ อะไรคือสิ่งที่คุณกังวลใจและจะแก้มันอย่างไร มันจะเป็นการหาทางออกของประเทศแบบที่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า
Q: มีเรื่องอะไรอีกไหมที่คุณมักจะต้องอธิบายซ้ำๆ ในการทำงานเรื่องแรงงานข้ามชาติ และอาจจะต้องอธิบายหนักขึ้นหลังจากนี้
ผมว่าเป็นเรื่องมายาคติ คือการมองว่าคนอื่นจะไม่รักประเทศไทย เป็นเรื่องที่คงต้องอธิบายเพิ่มมากขึ้น เวลาเราอธิบายเรื่องแรงงานข้ามชาติทั้งพม่าและกัมพูชาในประเทศไทย จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่มองว่ายังไงคนพวกนี้วันหนึ่งก็จะต่อต้านประเทศไทย ซึ่งผมก็จะบอกว่าไม่จริง อันที่จริงหลายคนเขารู้สึกดีและยังอยากอยู่ประเทศไทยในระยะยาว โดยเฉพาะคนที่มีลูกที่เกิดในไทย เวลาผมไปคุยกับเด็กเหล่านี้แล้วถามว่าเขาเป็นคนอะไร เขาจะบอกว่าเขาเป็นคนไทยนะ คือเพราะโตในไทย ดูสื่อไทย เรียนในไทย เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนของประเทศไทยตั้งแต่แรก รวมถึงตัวแรงงานหลายคนก็รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยนั่นแหละ เขาก็มีบ้านอีกหลังที่อยู่ฝั่งโน้น แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าบ้านทั้งสองหลังต้องตัดขาดหรือขัดแย้งจากกัน แต่สามารถข้ามไปมาหาสู่กันได้ หรือทำอะไรร่วมกันได้
เรื่องนี้น่าสนใจ และท้ายที่สุดสิ่งที่เราต้องให้เห็นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่เขตแดน ถ้าเราสามารถสร้างความเข้าใจและทำให้คนที่อยู่ในประเทศไทยเป็นคล้ายๆ กับทูตที่จะเชื่อมต่อเข้าหากันได้ สร้างความมั่งคั่งร่วมกันได้จะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
ผมเคยศึกษาเรื่องคนย้ายถิ่นและพบว่า มีหลายภูมิภาคในโลกที่ใช้ความสัมพันธ์แบบนี้สร้างความมั่นคงให้ทั้งสองฝั่ง มีคนที่มาจากประเทศที่ยากจนกว่าเข้าไปทำงานในประเทศที่รวยกว่า แล้วสร้างเครือข่ายที่จะถ่ายโอนการลงทุนไปยังประเทศที่ยากจน เชื่อมตลาดสู่กันและกัน ทำให้การเติบโตมันเกิดขึ้นได้ พอเราเห็นความเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ผมก็คิดว่ามันก็ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องมาทะเลาะมารบกัน ความขัดแย้งเรื่องชายแดนก็จะกลายเป็นเรื่องที่ต้องหาทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติและไม่ให้มันมากระทบ
Q: ในความขัดแย้งที่ยังดำเนินอยู่ คนไทยจะพากันมองมุมนี้ได้ใช่ไหม
ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนอยากมีชีวิตที่สงบสุข มีชีวิตที่ดี ไม่รู้ว่าโลกสวยหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ผมแค่คิดว่าธรรมชาติของมนุษย์มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่การถูกกล่อมเกลาหรือการได้รับข้อมูลบางอย่างมันมีโอกาสปลุกเร้าให้เขาคิดอีกแบบได้ ซึ่งไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีนะครับ เพียงแต่เราอาจจะต้องพูดคุย เจอหน้าเจอตา ทำความเข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น ผมเชื่อว่ามนุษย์ก็จะปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้
ผมเชื่อว่าคนที่ออกมาทำร้ายคนกัมพูชา ครั้งหนึ่งเขาอาจจะเคยมีเพื่อนเป็นคนกัมพูชาหรือมีความสัมพันธ์กับคนกัมพูชาแบบปกติ
สิ่งที่เราพยายามจะบอกก็คือว่า เวลามีคนมาต่อต้านแรงงานข้ามชาติ หลายๆ คนก็มีพ่อแม่เป็นคนจีน มีปู่ย่าตายายหรือบรรพบุรุษเป็นคนจีน ผมเองก็เหมือนกัน ฝั่งพ่อก็มาจากทางหนึ่ง ฝั่งแม่ก็อาจจะมาอีกทางหนึ่ง ดังนั้นเลยอยากชวนมองว่า ความเป็นไทยก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา และสามารถจะพัฒนาไปต่อในระยะยาวได้ สิ่งที่สำคัญก็คือ เราอย่าให้ความเป็นไทยมาทำร้ายซึ่งกันและกัน เพราะมันก็คือการทำร้ายตัวเองนั่นแหละ
Q: สังคมไทยเหมือนเป็นสังคมที่มีแผลเป็น ตรงที่เราต่างเคยเห็นกันมาแล้วว่าสังคมเราเคยกระทำอะไรได้บ้างกับคนที่ต่างจากเรา มันเลยทำให้หลายคนรู้สึกหวั่นใจ ที่จะต้องเห็นเพื่อนคนไทยด้วยกันมีความเห็นต่อคนต่างเชื้อชาติอย่างรุนแรง หรือเกลียดกลัวแรงงานข้ามชาติ คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
จริงๆ ผมคิดว่า ความกลัวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ มนุษย์ทุกคนไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต่างก็มีมุมที่ไม่ดี ดังนั้นเราต้องมาทบทวนความกลัวที่เกิดขึ้นมันเกิดจากอะไรกันแน่ มันเกิดจากการไม่มีข้อมูลครบถ้วน หรือมันเกิดขึ้นจากประสบการณ์บางอย่างที่เรามีต่อคนบางคน และมาทำให้เราคิดเอาเองว่ามันเป็นอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าคนฝั่งกัมพูชาเองก็เป็น
เอาจริงๆ ถ้าถามผมนะ ประวัติศาสตร์บาดแผลกัมพูชาแรงกว่าไทยอีก มันเคยมีเหตุการณ์ที่คนกัมพูชาเคยทำร้ายซึ่งกันและกันแล้วคนเสียชีวิตจำนวนมาก ผมว่าเขาก็ตระหนักว่าความรุนแรงแบบนี้ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ จะนำไปสู่ปัญหา เพียงแต่ปัจจุบันเรากำลังเจอแรงเร้า ที่ปั่นให้เราคิดไปต่างๆ นานา ถ้าเรามีโอกาสได้นั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงๆ จังๆ ผมเชื่อว่ามันมีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยน
สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามเรียกร้องมาตลอดคือ คนที่ทำให้ปัญหานี้มันกระจายเร็วที่สุดคือรัฐนี่แหละ เพราะรัฐมักจะผลิตวิธีคิดแบบนี้มาเรื่อยๆ อย่างช่วงนี้ฝั่งกองทัพก็จะมาหนักหน่อย แต่ไม่ว่ายังไงต้องไม่ขยายความขัดแย้งไปสู่จุดที่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
อีกสิ่งที่มาเร้าเรามากขึ้นคือการใช้สื่อ สำหรับผมสื่อสังคมออนไลน์คือประชาธิปไตยในการสื่อสาร ผมเชื่อมาตลอดว่าการมีสื่อสังคมออนไลน์เป็นเรื่องดี เพราะคนสามารถเสนอความคิดเห็นที่หลากหลายได้ แต่เราต้องตระหนักร่วมกันว่า ถ้าหากเราใช้มันไม่เป็น มันก็จะทำให้เกิดผลกระทบด้านร้ายต่อตัวเราและคนอื่นได้ง่าย ผมอยากให้เราเริ่มต้นจากตัวเรานี่แหละ ถ้าเราอยากเห็นสังคมที่ดีเราก็สร้างมัน ถ้าเราคิดว่าสังคมนี้ยังไงมันก็ล่มสลาย เราอยากทำร้ายมัน ก็ให้คิดถึงลูกหลานที่จะตามมาเนอะ ว่าเขาอยากเห็นแบบเราไหม (หัวเราะ)
Q: มาถึงตอนนี้ รัฐยังทำอะไรได้อีกเพื่อคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศ
หนึ่ง ผมคิดว่ารัฐบาล โฆษกของรัฐบาล และกระทรวงแรงงานต้องออกมาพูดให้ชัดเจนว่า คนทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย รวมถึงแรงงาน จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายไทย เพราะเราเป็นนิติรัฐ เราใช้กฎหมายในการปกครองประเทศ เพราะฉะนั้นคนทุกคนอยู่ในการคุ้มครองหมด การทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
สอง อีกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องจริงจังกับเรื่องนี้ เคสล่าสุดที่เราเจอคือเวลาไปคุยกับตำรวจที่โรงพัก เขาจะบอกว่า เห็นใจเขาหน่อย คนที่ทำร้ายแรงงานเขารักชาติ เขาก็เลยใช้อารมณ์ ซึ่งผมคิดว่าคำอธิบายแบบนี้จะทำให้เกิดความไม่สบายใจหรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ผู้รักษากฎหมายต้องทำให้ชัดเจน และลงโทษคนที่ใช้ความรุนแรงตามกฎหมาย
สาม ผมอยากให้ควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียในเนื้อหาใดก็ตามที่ทำให้เกิดการทำร้ายซึ่งกันและกัน คือคอนเทนต์บางอย่างเราไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ แต่มันมีผลกระทบแน่ๆ บางคอนเทนต์อาจเลวร้ายเลย เช่น คอนเทนต์การไล่ล่าคนกัมพูชา แต่บางอันก็เป็นคอนเทนต์ที่ดูไม่จริงจัง แต่สร้างความเข้าใจผิด เช่น มีคนเล่าว่ามีคนกัมพูชามาตอบโต้เขา ตัวผมที่ทำงานกับแรงงานข้ามชาติมาคิดว่าคนกัมพูชาที่เขายกมาเล่า ไม่ใช่คนกัมพูชาหรอก สำเนียงแบบนี้ไม่ใช่แน่ๆ การสร้างคอนเทนต์รูปแบบนี้เป็นการขยายความขัดแย้งให้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันฝั่งโน้นก็ต้องลดกระแสความไม่พอใจลงบ้าง ต้องทำร่วมกันทั้งสองฝ่าย
และสุดท้าย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้รัฐทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาในมิติต่างๆ ผมคิดว่าเรามีวัฒนธรรมบางอย่างที่ใกล้กัน หรือบางครั้งเราอาจจะส่งต่อวัฒนธรรมกันไปมา ปัญหากัมพูชาที่เราเคยเจอก่อนหน้า เช่น กระแส 'เคลมโบเดีย' ที่มองว่ากัมพูชาจะเคลมทุกอย่างเป็นของเขา มันเป็นแค่มุกขำๆ แต่เล่นมุกบ่อยๆ เข้ามันก็กลายเป็นทัศนคติของคนสองฝั่งที่มีต่อกันแล้ว ดังนั้นการขยายมิติวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เอาจริงๆ เราไม่ได้ต่างกันหรอก แม้ว่าต้นกำเนิดเราจะแตกต่าง แต่พอถึงเวลาจริงๆ เราก็รับส่งวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน และมิติด้านความสัมพันธ์มากกว่าปมเรื่องพรมแดนเยอะ เช่น คนกัมพูชาก็ใช้สินค้าฝั่งไทยเยอะ ตอนที่ปิดด่านแรกๆ สิ่งที่กระทบก็คือสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากสินค้าไทยเป็นที่นิยมในภูมิภาคแถบนี้ คนรู้สึกว่าสบายใจที่จะใช้สินค้าไทย นี่เป็นข้อที่ทำให้เราเห็นจุดร่วมระหว่างกัน แม้กระทั่งเรื่องที่ผมสนใจมาตลอดคือกระแสเพลงป๊อปของไทย กัมพูชาก็มีการเอาเพลงป๊อปไทยไปแปลเป็นภาษากัมพูชาเยอะ
ทั้งหมดเป็นจุดที่ทำให้เราน่าจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ง่ายและเร็วขึ้น หากว่ารัฐบาลลองขยายมิติทางวัฒนธรรมดู มันก็คงไม่ง่ายหรอก ในเมื่อเราขยับความรุนแรงมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ก็ยังอยากให้พยายามทำไปเรื่อยๆ
Q: หลายคนตามข่าวไทยกัมพูชาและความเห็นในโซเชียลมีเดียแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และส่วนหนึ่งของความไม่สบายใจอาจมาจากความไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง คุณคิดว่าผู้คนธรรมดาจะมีส่วนร่วมให้สถานการณ์ดีขึ้น หรือช่วยเหลือแรงงานกัมพูชาในประเทศได้อย่างไร
อย่างแรกคือส่งต่อความเข้าใจในมิติดีๆ ออกไป เพราะทุกวันนี้ ทุกคนเป็นสื่อด้วยตัวเองอยู่แล้ว เราก็พยายามส่งต่อมิติดีๆ ทำให้เกิดทางเลือกในการรับรู้ข่าวสาร หรือแชร์ข้อมูลที่เปิดให้คนได้เลือกทำความเข้าใจอย่างหลากหลายขึ้น
อย่างที่สองคือพยายามไม่ส่งต่อเนื้อหาและกระแสความคิดเห็นที่มีผลกระทบต่อทุกคนในระยะยาว จะกดรีพอร์ตก็ได้ จะไม่สนับสนุนและส่งเสริมให้อัลกอริทึมแพร่เนื้อหาพวกนี้ไปสู่คนเพิ่มก็ได้
อย่างที่สามคือ ลองสร้างเรื่องดีๆ ให้สังคมหรือโซเชียลมีเดียได้เรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น ถ้าวันนี้ไปเจอพนักงานในห้างที่เป็นคนพม่าหรือกัมพูชา ก็ลองคุยกับเขาดูว่าอยู่เมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง มีความสุขไหม เหมือนเป็นการทำความเข้าใจกันเพิ่มขึ้นโดยไม่ไปคุกคามข่มขู่เขา ผมว่ามันก็ช่วยสร้างความน่าอยู่หรือสร้างกระแสที่มีทางเลือกเพิ่มขึ้นด้วย
และในระยะยาว ผมคิดเรื่องการเมืองมากขึ้น ผมว่าคนรุ่นใหม่สนใจในการเมืองตามแบบของเขา ประชาธิปไตยคือการออกแบบประเทศ ออกแบบนโยบายที่ต้องมาจากประชาชน ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันออกแบบด้วยการใช้สิทธิในฐานะประชาชน ไม่ว่าจะการเลือกตั้ง หรือส่งเสียงให้นักการเมืองขยับในสิ่งที่ควรจะทำ
Q: หากเราพบเห็นการเลือกปฏิบัติหรือคุกคามแรงงานกัมพูชา แล้วสับสนว่าควรจะต้องแจ้งใคร แจ้งเจ้าหน้าที่ไปแล้วแรงงานจะยิ่งเดือดร้อนไหม -- จริงๆ แล้วเราควรทำอย่างไร
เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้าเกิดมีใครลุกสักคนบอกเจ้าหน้าที่ว่าคุณต้องทำ เขาจะหยุดคิดทันที
สิ่งที่เราเจอเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลังคือ ตอนแรกเหล่านายจ้างจะคิดแบบคนทั่วไป คือมองว่าเจ้าหน้าที่ก็เป็นแบบนี้แหละ อาจจะไม่สนใจประชาชน หรือบางครั้งก็คอร์รัปชัน แต่วันหนึ่งพอนายจ้างเหล่านี้ลุกขึ้นมาตั้งคำถาม หรือบอกเจ้าหน้าที่ว่าเขาต้องทำตามหน้าที่ เขาก็เริ่มทำตามกฎหมายมากขึ้น
ผมอยากให้เราลองใช้วิธีนี้ ทำไปตามระบบ และท้ายที่สุดผมเชื่อว่าผลลัพธ์มันจะมากกว่าที่เราคาดหวัง มันจะทำให้ระบบถูกตั้งคำถาม การทำผิดหรือคอร์รัปชันจะน้อยลง และที่ผมหวังคือระบบราชการต่างๆ จะกลับไปสู่จุดที่มันควรจะเป็น
ที่สำคัญคือ ผมไม่อยากให้เพิกเฉยต่อความรุนแรง และอยากให้ตระหนักว่าถ้าเราปล่อยให้ความรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น มีโอกาสที่สักวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับเรา เหมือนเวลาทำงานเรื่องแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัย คนจะมองว่าผู้ลี้ภัยไกลตัวมาก ผมก็จะบอกว่าเอาจริงๆ ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ในโลกใบนี้คือชาวบ้านแบบเรานี่แหละ คือคนธรรมดาที่วันหนึ่งถูกอำนาจคุกคามและทนต่อไปไม่ไหว เมื่อลุกขึ้นมาต่อต้านก็ถูกอำนาจจัดการ กลายเป็นผู้ลี้ภัยทันที มันเกิดขึ้นง่ายมาก
บทความต้นฉบับได้ที่ : คุยกับ อดิศร เกิดมงคล ในวันที่แรงงานกัมพูชาต้องติดอยู่ในความขัดแย้งและความ ‘เป็นอื่น’
บทความที่เกี่ยวข้อง
- การเสพสื่อมือสอง สะพานที่ทำให้เรา ‘รู้เรื่อง’ งานสร้างสรรค์ต่างๆ แต่อาจพลาด ‘ความหมายระหว่างบรรทัด’
- คุยกับ อดิศร เกิดมงคล ในวันที่แรงงานกัมพูชาต้องติดอยู่ในความขัดแย้งและความ ‘เป็นอื่น’
- วิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในภูมิรัฐศาสตร์โลก สหรัฐฯ จีน และอาเซียน มีบทบาทอย่างไร
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath