คริสซ์ตอฟ เคียสลอฟสกี ชีวิต การเมือง และสงคราม ในยุโรปบนแผ่นฟิล์ม
The Double Life of Véronique(1991) เป็นหนึ่งในหนังของ คริสซ์ตอฟ เคียสลอฟสกี (Krzysztof Kieślowski) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง และล่าสุดโรงภาพยนตร์เฮาส์ สามย่าน เพิ่งนำหนังกลับมาเข้ามาฉายในโรงอีกหน นี่จึงน่าจะถือเป็นโอกาสอันดีในการแนะนำงานอื่นๆ ของเคียสลอฟสกี คนทำหนังชาวโปแลนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคนทำหนังที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในยุโรป
เคียสลอฟสกีเกิดในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ช่วงที่ยังถูกยึดครองโดยเยอรมนี และเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุถึงขีดสุด ที่ก็อาจเป็นต้นธารสำคัญของน้ำเสียงการเล่าเรื่องการเมืองและสภาพสังคมในหนังของเขา “การเมืองส่งผลกระทบ ส่งอิทธิพลต่อเราในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ มันทำให้เรามีหวังในยุโรปและโปแลนด์ หรือแม้กระทั่งเมื่อเราอยู่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ เราก็ยังมีหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นได้” เคียสลอฟสกีบอก “แม้ว่าตอนนั้น เราจะยังไม่รู้หรอกว่าคอมมิวนิสต์นั้นคือการทำลายตัวเองโดยแท้ เราเพียงแค่หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นสักหน่อย อย่างการออกเดินทางได้เสรีขึ้น แสดงความเห็นได้อย่างเสรีขึ้น”
ช่วงที่เคียสลอฟสกีเติบโตเป็นวัยรุ่น กองทัพโปแลนด์เรียกคนหนุ่มไปเกณฑ์ทหารจำนวนมาก และเพื่อหลบเลี่ยงจากการถูกเรียกไปเกณฑ์ทหาร เคียสลอฟสกีจึงอดอาหารจนผอมโซ เพื่อให้ร่างกายไม่ตรงตามคุณสมบัติการเป็นทหารที่ดี และพยายามสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนภาพยนตร์โลดซ์ (สถาบันเดียวกันกับ โรมัน โปลันสกี และอันเดรซจ์ วัจดา) แต่ถูกปฏิเสธจนต้องสมัครครั้งที่ 3 จึงจะเข้าเรียนได้ และช่วงนี้เองที่เขาเริ่มสนใจการทำหนังสารคดีเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อบรรยากาศสังคมโปแลนด์ที่เต็มไปด้วยการเซนเซอร์จากรัฐ ผลักให้เขายิ่งอยากถ่ายทอดเรื่องราวของคนตัวเล็กตัวน้อยในหนังสารคดีของตัวเอง
“ก็จริงแหละที่สารคดีหาได้นำเสนออะไรมากไปกว่าความเป็นจริง แต่การที่มันเล่าผ่านมุมมองของคนทำหนัง ก็มากพอสำหรับการปลดปล่อยจินตนาการของผมแล้ว”
Workers '71: Nothing About Us Without Us(1972) เป็นภาพยนตร์สารคดีออกฉายทางโทรทัศน์ที่เคียสลอฟสกีร่วมกำกับกับคนทำหนังชาวโปแลนด์หน้าใหม่ในเวลานั้นหลายคน จับจ้องไปยังการนัดประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ของโปแลนด์เมื่อปี 1970 ภายหลังรัฐบาลประกาศขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นมซึ่งถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำอาหาร ส่งผลให้ผู้คนลงถนน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลตรึงราคาสินค้า ตามมาด้วยการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกลายเป็นจลาจล บานปลายจนมีผู้เสียชีวิต 44 รายและบาดเจ็บอีกนับพัน
ตัวหนังสำรวจผู้คนที่เข้าร่วมการประท้วง ทั้งคนงานเหมือง คนงานจากโรงงานถลุงเหล็กไปจนถึงเหล่าคนงานจากอุตสาหกรรมถักทอ ที่ต่างแสดงความกังวลต่อรายได้และการถูกขูดรีดโดยนายจ้าง ทั้งยังชวนขยายประเด็นไปจนถึงความแข็งแรงของสหภาพแรงงานทั้งปัจจุบันและอนาคต
A Short Film About Killing (1988) คือหนังยาวเรื่องแรกที่ส่งให้เคียสลอฟสกีเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยหนังส่งเขาเข้าชิงรางวัลปาล์มทองจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นครั้งแรก หนังเล่าเรื่องของชาย 3 คนในกรุงวอร์ซอ คนหนึ่งประกอบอาชีพขับแท็กซี่ มีนิสัยเสีย เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เพลิดเพลินกับการละลาบละล้วงหญิงสาวทางสายตา คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาใช้ชีวิตในกรากุฟ มีพฤติกรรมคาบเส้นกฎหมายทั้งคุกคามผู้อื่น โยนก้อนหินใส่รถคนแปลกหน้า และอีกคนหนึ่งเป็นทนายหน้าใหม่ที่สนทนาเรื่องอนาคตของตัวเองกับเมียรัก โดยทั้ง 3 ล้วนผูกโยงกันด้วยคดีฆาตกรรมที่ท้าทายทั้งระบบศีลธรรมและระบบกฎหมาย
หนังสำรวจการฆ่าทั้งในแง่การฆ่ากันเองและการฆ่าโดยสังคม “เรารู้ว่าทำไมสังคมจึงฆ่าเขาคนนั้น แต่เราไม่รู้เหตุผลที่เขาคนนั้นฆ่าชายอีกคนหรอก และเราคงไม่มีทางรู้ด้วย” เคียสลอฟสกีบอก “ผมอยากทำหนังเรื่องนี้ เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคม เป็นหนึ่งในพลเมืองของประเทศนี้ ดังนั้นหากมีคนเอาเชือกไปแขวนคอใครสักคนหนึ่ง แล้วเตะเก้าอี้ข้างล่างทิ้ง เขาก็ทำในนามของผมเช่นกัน ซึ่งผมไม่ชอบเลย ผมไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น”
The Double Life of Véronique (1991) เป็นหนังลำดับต่อมาที่ส่งเคียสลอฟสกีชิงปาล์มทอง และส่ง ไอรีน ยาคอบ คว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์มาครอง ในฐานะที่เธอรับบทเป็นเด็กสาว 2 คนที่ใช้ชีวิตเหมือนเป็นเหรียญคนละด้านกัน เวโรนิกา (สะกด Weronika) เป็นเด็กสาวชาวโปแลนด์ที่หลงใหลในการร้องเพลง และจู่ๆ เธอก็รู้สึกว่า เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังบนโลกใบนี้
อีกคนหนึ่งคือ เวโรนิกา (สะกด Véronique) เด็กสาวชาวฝรั่งเศสที่สดใสและเปี่ยมอารมณ์ขัน ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ขนานกันคนละประเทศโดยไม่รู้เลยว่า มีเด็กสาวอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอยู่ด้วย กระทั่งวันหนึ่งเวโรนิกาชาวโปแลนด์ได้รับเลือกให้เป็นนักร้องหลักในการขับร้องเพลงประสานเสียง เธอเดินตัดจัตุรัสใหญ่ในกรากรุฟด้วยความรื่นเริง และเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศสบนรถทัวร์ หนึ่งในนั้นมีเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนเธอกำลังถ่ายรูปด้วยความตื่นตาตื่นใจ อีกไม่นานหลังจากนั้น เวโรนิกาชาวโปแลนด์เสียชีวิตลงขณะร้องเพลง หนังตัดสลับไปยังเมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส ที่เวโรนิกาอีกคนหนึ่งรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
อาจจะพูดได้ว่า The Double Life of Véroniqueไม่ใช่หนังดูง่ายนัก ในภาพใหญ่มันอาจจะดูเหมือนพูดเรื่องโลกคู่ขนานของเด็กสาว 2 คน หากแต่พินิจให้ละเอียดกว่านั้น ก็อาจจะอ่านหนังได้ว่า เป็นการถอยออกมามองยุโรปในมุมกว้าง เวโรนิกาทั้งคู่ต่างอยู่ในพื้นที่เดียวกันคือ จัตุรัสใหญ่กลางเมืองกรากรุฟ ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศเฉลิมฉลองการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ การตายของเวโรนิกาชาวโปแลนด์อาจเป็นภาพแทนการตายของระบบคอมมิวนิสต์ ที่สั่นสะเทือนถึงโลกเสรีใกล้เคียงอย่างฝรั่งเศส และเอาเข้าจริงแล้ว เวลานั้นตัวหนังก็ไม่ได้เป็นที่ถูกใจนักวิจารณ์ชาวโปแลนด์นัก หลายคนบอกว่ามันคลุมเครือเกินไป จงใจเล่าให้ยากเกินไป หรือกระทั่งให้น้ำหนักการมองการเมืองฝั่งโปแลนด์ผ่านสายตาฝรั่งเศสมากไป ฯลฯ ตัวเคียสลอฟสกีเองตระหนักถึงประเด็นนี้ดี
“และต่อให้นักวิจารณ์หนังเหล่านี้จะชอบหนัง แต่พวกเขาก็เขียนถึงมันว่า มันเป็นหนังที่สวยงามนะ มันมีบางอย่างที่สวยงามในตัวหนังแหละ หรือไม่ก็เป็นหนังที่สั่นสะเทือนอารมณ์มาก แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่สั่นสะเทือนได้ขนาดนั้น” เขาบอก
จากนั้นจึงเป็นการมาถึงของ Three Colours Trilogy หนัง 3 เรื่องที่เคียสลอฟสกีดัดแปลงมาจากสีทั้ง 3 และความหมายของธงชาติฝรั่งเศส อันได้แก่ สีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง กับนัยของเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ ตามลำดับ
“คำ 3 คำนี้ เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ ฉายแก่นแกนบางอย่างของชีวิต คนนับล้านตายไปกับอุดมการณ์ที่ว่านี้ และผมอยากสำรวจว่าในปัจจุบัน คำทั้งสามทำงานอย่างไร และยังมีความหมายแบบไหนต่อผู้คนบ้าง” เคียสลอฟสกีบอก
Three Colors: Blue (1993) เล่าเรื่องของจูลี (จูเลีย บินอช) เป็นภรรยาของคอมโพเซอร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส วันหนึ่งเธอกับสามีและลูกสาววัย 5 ขวบประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน สามีและลูกสาวของเธอตาย มีเพียงเธอที่รอด จูลีจึงขายบ้าน ขายรถ โยกย้ายที่อยู่ไปยังสถานที่แห่งใหม่และอาจจะกล่าวได้ว่า สร้างชีวิตใหม่ที่หลุดพ้นจากเงื่อนไขเดิมในนามของการมีครอบครัว ปฏิเสธการสานสัมพันธ์กับผู้คนในชีวิตเก่าและตั้งต้นทำงานของตัวเองเงียบๆ เพียงลำพัง ก่อนที่เธอจะไปรู้ความลับที่สามีผู้จากไปปกปิดมาโดยตลอด
สำหรับเคียสลอฟสกี เสรีภาพที่เขานำเสนอในหนังคือ เสรีภาพแห่งการปลดปล่อยตัวเองจากพันธะทั้งปวง ทั้งในสถานะของเมีย แม่ และการมีครอบครัว ตลอดจนการร้อยเรียงบทเพลงว่าด้วยการรวมตัวของประเทศในยุโรปหลังยุคสงครามเย็นที่สามีของตัวละครแต่งทิ้งไว้ ที่ด้านหนึ่งแล้วอาจอ่านได้ว่า เป็นอีกด้านของตัวละคร เมื่อจูลีพยายามตัดขาดจากผู้คนโดยรอบ แต่ฝรั่งเศสและยุโรปทั้งปวงกลับพยายามเชื่อมร้อยเข้าด้วยกันหลังสงครามล่วงพ้น
“ผมคงต้องบอกว่า แนวคิดเรื่องเสรีภาพแบบฝรั่งเศสเป็นฉากหลังของหนังเรื่องนี้ ซ่อนเร้นลึกซึ้ง ราวกับมันไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอะไร และหนังของผมเป็นเช่นนี้เสมอ” เคียสลอฟสกีบอก “ผมไม่อยากทำให้คนกลัวด้วยการบอกว่า ผมทำหนังว่าด้วยแนวคิดเรื่องเสรีภาพของฝรั่งเศสนี่นา”
หนังลำดับต่อมาของไตรภาคนี้คือ Three Colors: White(1994) หรือสีขาวบนธงชาติและเป็นตัวแทนของความเสมอภาค การอล (ซบิกนิว ซามาโชวสกี) เป็นชายหนุ่มขี้อายชาวโปแลนด์ เขาหาเลี้ยงชีพเรียบง่ายด้วยการเป็นช่างทำผม วันดีคืนดีเขาพบว่า ตัวเองถูกโดมินิก (ฌูว์ลี แดลปี) เมียรักชาวฝรั่งเศสฟ้องหย่า ข้อหาที่เขาไม่อาจร่วมรักกับเธอได้ และทำให้เธอไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว
การฟ้องหย่าทำให้การอลต้องหมดเนื้อหมดตัว ไม่อาจถอนเงินในบัญชีและเสียสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของร้านทำผม มิหนำซ้ำชีวิตเขาหลังจากนั้นยังดิ่งลงเหว เพราะถูกโดมินิกกล่าวหาว่าวางเพลิง ทำให้ต้องตกอยู่ในสภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องเร่ร่อนขอทานและหาทางระหกระเหินกลับไปยังโปแลนด์ และนี่เองที่ทำให้การอลค่อยๆ ฟื้นตัวพร้อมแผนร้ายที่จะล้างแค้นอดีตเมียรักของเขา
เราอาจแทนค่าความสัมพันธ์ของการอลกับโดมินิก เป็นเสมือนความสัมพันธ์ระหว่างโปแลนด์กับฝรั่งเศส ความไม่เท่าเทียมที่อยู่ในรูปลักษณ์ของประเทศที่เล็กกว่า สนองตอบในสิ่งที่ประเทศใหญ่มอบให้ไม่ได้ และความเสมอภาคที่ว่า อาจหมายถึงการแก้แค้นเพื่อเอาคืนอย่างเท่าเทียม แม้นั่นจะหมายถึงการกลับมาทำลายตัวเองในท้ายที่สุดของตัวละครก็เป็นได้
“ผมว่าหนังเรื่องนี้พูดเรื่องความไม่เท่าเทียมมากกว่าความเท่าเทียมนะ ที่โปแลนด์ เราพูดกันว่า ‘ทุกคนอยากได้ความเท่าเทียมมากกว่าคนอื่นๆ’ จริงๆ มันเป็นสุภาษิตแหละ ซึ่งมันสะท้อนว่าความเท่าเทียมนั้นเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย มันขัดแย้งต่อธรรมชาติของมนุษย์ ฉะนั้นนี่แหละคือความล้มเหลวของคอมมิวนิสต์” เคียสลอฟสกีบอก
“แต่ความเท่าเทียมก็เป็นคำที่สวยงาม เราต้องทำทุกทางเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม โดยที่ต้องคำนึงเสมอว่า เราไม่อาจบรรลุสิ่งนี้ได้”
Three Colors: Red(1994) หนังปิดไตรภาคที่เล่าผ่านเรื่องราวของวาเลนทีน (ไอรีน ยาคอบ) นักศึกษาสาวที่ทำงานเป็นนางแบบ วันหนึ่งเธอขับรถชนหมาเข้าและออกตามหาเจ้าของจนเจอเพื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล วาเลนทีนพบว่า เจ้าของหมาคือโจเซฟ (ฌ็อง-ลุยส์ แตร็งติญองต์) ผู้พิพากษาเกษียณและใช้เวลาว่างนั่งดักฟังบทสนทนาทางโทรศัพท์ของเพื่อนบ้าน พฤติกรรมของเขา ทั้งการดักฟังและการละเลยหมา
พฤติกรรมเหล่านี้ของโจเซฟทำให้วาเลนทีนผิดหวัง ก่อนที่เธอจะค่อยๆ พบความลับร้ายแรงที่อยู่ในเนื้อหาของการดักฟังนั้น ยิ่งทำให้เธอผิดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมและเพื่อนมนุษย์หนักหนากว่าเดิม โดยที่อีกด้านหนึ่งหนังก็เล่าเรื่องเล็กๆ ของออกุส (ฌ็อง-ปิแอร์ โลรีต์) นักศึกษากฎหมายหนุ่มที่ใช้ชีวิตในละแวกบ้านวาเลนทีนด้วย
เราอาจจะพูดได้ว่า Three Colors: Red เป็นหนังที่เจือกลิ่นโรแมนติกมากที่สุดในบรรดาไตรภาค มันชวนตั้งคำถามถึงความเป็นภราดรภาพหรือหนึ่งเดียวกันของมนุษย์ใต้กฎหมาย
“มันเหมือนการที่เราหวนกลับไปแก้ไขอะไรในอดีตไม่ได้น่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งโง่ๆ ที่ตัวละครผู้พิพากษาทำลงไปก็จะยังเป็นสิ่งโง่ๆ อยู่แบบนั้น ความผิดพลาดก็ยังคงเป็นความผิดพลาดต่อไป คุณเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก” เคียสลอฟสกีว่า
“ที่ผมทำหนังออกมาเป็น 3 เรื่องเพราะมันน่าสนใจกว่า การเล่าเรื่องด้วยแง่มุมที่หลากหลาย โดยตัวมันเองก็น่าใจมากกว่าการเล่าแค่มุมเดียวอยู่แล้ว” เขาบอก “ผมไม่มีคำตอบอะไร แต่ผมรู้วิธีการตั้งคำถาม และผมว่าการเปิดประตูแห่งความใคร่รู้ทิ้งไว้เหมาะสำหรับผมมากกว่าด้วย”