การ์เมนต์ไทยลั่น พร้อมแลกสหรัฐภาษี 0% แรงงานกว่า 4 แสนคนลุ้นผลเจรจา ชี้อนาคตอยู่หรือไป
นายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ กรรมการที่ปรึกษา และอดีตนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” กรณีสหรัฐอเมริกา เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% หากเจรจาไม่สำเร็จก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม 2568 โดยมองว่าไทยควรเลือกเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐในบางหมวดที่ไม่กระทบอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อต่อรองอัตราภาษีที่เหมาะสม โดยเฉพาะสินค้าเครื่องนุ่งห่ม พูดได้เลยว่าพร้อมเปิดตลาดในสินค้าหมวดนี้ให้สหรัฐภาษีเป็น 0% เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้สหรัฐไม่ผลิตเองอยู่แล้ว
“เสื้อผ้า รองเท้าแบรนด์สหรัฐฯ อย่างไนกี้ ส่วนใหญ่ก็ผลิตอยู่ในไทยและอาเซียน จะเอาเข้ามาขายไทยโดยตรงแทบไม่มี ใครอยากเปิดให้เขา 0% ก็ให้ไปเถอะ ไม่มีผลกระทบ”
นายยุทธนา เผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป สินค้าเสื้อผ้า และเครื่องนุ่งห่ม(การ์เมนต์)ของเวียดนาม ที่เป็นคู่แข่งสำคัญของสินค้าไทยจะเสียภาษีในอัตรา 20% และสินค้าจากอินโดนีเซียที่ 19% หลังทั้งสองประเทศบรรลุผลการเจรจาและปิดดีลกับสหรัฐในเรื่องภาษีไปแล้ว ขณะที่ไทยและกัมพูชาซึ่งไม่ใช่ตลาดหลักของสหรัฐ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาก่อนเส้นตาย โดยภาษีที่ได้รับยังอยู่ที่ 36% เช่นเดียวกัน ซึ่งหากไทยเจรจาให้ลดภาษีลงต่ำกว่า 36% ได้ ก็จะได้เปรียบกัมพูชาในเชิงการแข่งขัน แต่หากยังอยู่ในระดับ 30-36% ย่อมกระทบหนัก และลูกค้าอาจย้ายฐานการสั่งผลิตไปยังเวียดนามหรือประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า
“ถ้าได้ภาษี 20-25% ยังแข่งขันได้ ลูกค้ายังอยู่ แต่ถ้าเกิน 25% ลูกค้าก็จะทยอยย้ายคำสั่งผลิตไปยังเวียดนาม ส่วนไทยก็อาจเหลือแค่ฐานการผลิตรอง”
อย่างไรก็ดีส่วนตัวลุ้นว่าอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับและประกาศก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม จะอยู่ที่อัตรา 20-25% ซึ่งหากเป็นไปตามความคาดหมาย การส่งออกเครื่องนุ่งห่มในปี 2568 ของไทยจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% แต่หากต้องจ่ายภาษีที่ 30-36% แนวโน้มการส่งออกติดลบแน่นอน เพราะตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดหลักของอุตสาหกรรมไทย มีสัดส่วนส่งออกกว่า 38-40%
“ถ้ายังอยู่ที่ 36% เหมือนเดิม คือจบเลย หายยาว ไม่ใช่แค่ปีนี้ เพราะเราจะไปหาออเดอร์ใหม่ทันในระยะสั้นไม่ได้แน่ ๆ”
นายยุทธนา กล่าวอีกว่า แรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 4 แสนราย แบ่งเป็นแรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่ม 3 แสนราย และสิ่งทอ 1 แสนราย โดยแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 70-80% ขณะที่แรงงานไทยมีเพียง 20-30% เท่านั้น ทั้งนี้หากอัตราภาษีไม่เอื้อต่อการส่งออก อาจเกิดการปรับลดกำลังการผลิต ย้ายฐานผลิต และส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากภาษีแล้ว อุตสาหกรรมการ์เมนต์ไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงอื่น ทั้งการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯ เป็น 400 บาท ซึ่งอาจขยายไปยังปริมณฑล เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม ฯลฯ จะส่งผลกระทบต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน การค้าชายแดนที่ซบเซา ทำให้สินค้าเสื้อผ้ามือสองจากเพื่อนบ้านเข้ามาน้อยลง และการส่งออกของไทยไปยังตลาดชายแดนก็ชะงัก ส่งผลต่อยอดขายตลาดล่างอย่างโบ๊เบ๊และประตูน้ำ ทั้งหมดคือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการ์เมนต์ในเวลานี้