‘น้ำจืด’ ลดลงจนวิกฤติ ทั่วโลกเข้าสู่ภาวะแห้งแล้งต่อเนื่อง
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ปริมาณ “น้ำจืด” ของโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภัยแล้งรุนแรง ความต้องการใช้น้ำทางการเกษตรที่เพิ่มมากขึ้น และปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศ เช่น เอลนีโญ
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ วิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม GRACE (Gravity Recovery and Climate Experiment) ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์การบินและอวกาศแห่งเยอรมนี ศูนย์วิจัยธรณีวิทยาแห่งเยอรมนี และองค์การนาซา พบหลักฐานการลดลงอย่างมากและฉับพลันของปริมาณน้ำจืดสำรองของโลก เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค. 2014 และยังคงลดลงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าทวีปต่าง ๆ อาจเข้าสู่ช่วงแห้งแล้งในระยะยาว ตามผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Surveys in Geophysics
ดาวเทียม GRACE วัดความผันผวนของแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นรายเดือน เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของมวลน้ำบนพื้นดินและใต้ดิน หรือที่เรียกว่าการกักเก็บน้ำบนบก (Terrestrial water storage) พบว่า การลดลงของปริมาณน้ำจืดทั่วโลกเริ่มต้นจากภัยแล้งครั้งใหญ่ในภาคเหนือและภาคกลางของบราซิล ตามมาด้วยภัยแล้งครั้งใหญ่หลายครั้งในออสตราเลเซีย อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ ยุโรป และแอฟริกา
การสำรวจด้วยดาวเทียมเผยให้เห็นว่า ปริมาณน้ำจืดที่กักเก็บไว้บนพื้นดิน ซึ่งรวมถึงน้ำผิวดินในทะเลสาบและแม่น้ำ รวมถึงน้ำใต้ดินในชั้นหินอุ้มน้ำ โดยเฉลี่ยระหว่างปี 2015-2023 มีน้อยกว่าระดับเฉลี่ยที่บันทึกไว้ตั้งแต่ปี 2002-2014 ถึง 1,200 ลบ.กม. โดยโลกสูญเสียน้ำใต้ดินมากที่สุดถึง 68% ของการสูญเสียน้ำบนบกทั้งหมด อีกทั้งน้ำใต้ดินมีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่าธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ตามมาด้วยน้ำผิวดิน (18%) ความชื้นในดิน (9%) และน้ำจากหิมะ (5%)
ในแต่ละปีพื้นที่แห้งแล้งเหล่านี้ขยายตัวประมาณ 831,600 ตร.กม. ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 1.65 เท่า โดยนักวิจัยพบเส้นทางแห้งแล้งต่อกันใน 4 ภูมิภาค ซึ่งก่อให้เกิดเขตการสูญเสียน้ำขนาดใหญ่และขยายตัวไปทั่วซีกโลกเหนือ เริ่มจากทางตอนเหนือของแคนาดาและอะแลสกา ที่มีปริมาณน้ำสำรองบนบกลดลงในอัตรา -0.34 นิ้วต่อปี ไม่รวมธารน้ำแข็ง
ตามมาด้วยทางตอนเหนือของรัสเซีย ปริมาณน้ำสำรองลดลง -0.16 นิ้วต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งถาวรและภัยแล้งที่ยังคงดำเนินอยู่ ขณะที่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาเหนือและอเมริกากลางมีปริมาณน้ำสำรองลดลงรวมกัน -0.30 นิ้วต่อปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อเมืองใหญ่ ๆ เช่น ลาสเวกัส ลอสแอนเจลิส และเม็กซิโกซิตี
ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) และภูมิภาคแพนยูเรเซีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของแอ่งคงคา-พรหมบุตรสูญเสียน้ำสำรอง -0.43 นิ้วต่อปี ส่วนทะเลแคสเปียนและทะเลอารัลมีปริมาณน้ำสำรองลดลงอย่างมากถึง -1.18 นิ้วต่อปี
ในช่วงเวลาที่เกิดภัยแล้ง รวมถึงการขยายตัวของพืชที่เกษตรกรรม ทำให้ในปัจจุบันไร่นาและเมืองต่าง ๆ จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำบาดาลมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดวัฏจักรแหล่งน้ำใต้ดินลดลง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อแหล่งน้ำจืดจะหมดลง ฝนและหิมะมีปริมาณไม่เพียงพอ จนทำให้ต้องสูบน้ำบาดาลเพิ่มขึ้น
ตามรายงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับภาวะขาดแคลนน้ำที่เผยแพร่ในปี 2024 ระบุว่า ปริมาณน้ำที่ลดลงก่อให้เกิดความเครียดแก่เกษตรกรและชุมชน ซึ่งอาจนำไปสู่ความอดอยาก ความขัดแย้ง และความยากจน ตลอดจนความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่เพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนหันไปพึ่งแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน
อิทธิพลของสภาพภูมิอากาศและภัยแล้งเรื้อรัง
อุณหภูมิของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนที่อุ่นขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2014-2016 ซึ่งนำไปสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งนับตั้งแต่ปี 1950 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของกระแสลมกรดในชั้นบรรยากาศ ซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศและรูปแบบปริมาณน้ำฝนทั่วโลก
แม้หลังจากปรากฏการณ์เอลนีโญสงบลง น้ำจืดทั่วโลกก็ยังไม่ฟื้นตัว อันที่จริงทีมนักวิตัยรายงานว่า 13 ใน 30 ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดของโลกที่ GRACE สังเกตการณ์นั้น เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2015 ทำให้พวกเขาคาดการณ์ว่าภาวะโลกร้อนอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำจืดลดลงอย่างต่อเนื่อง
ไมเคิล โบซิโลวิช นักอุตุนิยมวิทยาของนาซาก็อดดาร์ดกล่าวว่า ภาวะโลกร้อนทำให้ชั้นบรรยากาศกักเก็บไอน้ำไว้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดฝนตกหนักมากขึ้น
ถึงแม้ปริมาณน้ำฝนและหิมะรวมรายปีอาจไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่ช่วงที่มีฝนตกหนักเป็นเวลานานขึ้น ทำให้ดินแห้งและอัดตัวแน่น จนดินดูดซับน้ำฝนลงไปได้น้อยลง ส่งผลให้มีน้ำบาดาลน้อยลง
“เมื่อเกิดฝนตกหนัก น้ำจะไหลบ่าแทนที่จะซึมเข้าไปและเติมเต็มแหล่งกักเก็บน้ำใต้ดิน” โบซิโลวิชกล่าว
ระดับน้ำจืดทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปรากฏการณ์เอลนีโญในปี 2014-2016 ขณะที่น้ำจำนวนมากยังคงถูกกักเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศในรูปของไอน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้การระเหยของน้ำจากผิวดินสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น และความสามารถในการกักเก็บน้ำของชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น ทำให้ภาวะภัยแล้งเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น
ฟังดูแล้ว สมมติฐานที่ว่า ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณน้ำจืดลดลงอย่างกะทันหัน แต่การหาเหตุผลมาเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันเป็นเรื่องยาก โดยซูซานนา เวิร์ธ นักอุทกวิทยาและนักวิทยาศาสตร์การสำรวจระยะไกลจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษานี้กล่าวว่า “การคาดการณ์สภาพภูมิอากาศยังมีความไม่แน่นอน เพราะการวัดและแบบจำลองมักมาพร้อมกับข้อผิดพลาด”
ยังคงต้องรอดูกันต่อไปว่าปริมาณน้ำจืดทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนปี 2015 ได้หรือไม่ หรือจะยังคงที่ หรือจะลดลงยิ่งกว่าเดิม
ที่มา: CBS News, Earth, Scitech Daily, The Hill