ประวัติศาสตร์ฮิปฮอป เพลง Diss Track ด่ากันผ่านบทเพลง ที่แลกด้วยเลือด-น้ำตา
ในโลกของดนตรีฮิปฮอปที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และการแข่งขัน "Diss Track" หรือเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อโจมตีศิลปินคนอื่นโดยเฉพาะ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ไม่อาจแยกจากกันได้
นี่ถือเป็นสมรภูมิของปะทะคารมด้วยไหวพริบทางภาษาและชั้นเชิงทางดนตรี แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าเส้นทางของมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงการเหน็บแนมกันบนเวที มันได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีอเมริกา นั่นคือสงครามระหว่าง East Coast (ฝั่งนิวยอร์ก ) และ West Coast (ฝั่งแอลเอ) ได้เลย
จุดกำเนิด: เมื่อคำพูดกลายเป็นอาวุธ
วัฒนธรรมฮิปฮอป ถือกำเนิดขึ้นในย่านบร็องซ์ นครนิวยอร์ก ในช่วงทศวรรษ 1970 การ "แบทเทิล" หรือประชันความสามารถในการแร็พสดๆ คือหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมนี้ แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้การโจมตีคู่แข่งกลายเป็นศิลปะที่จับต้องได้ เกิดขึ้นในปี 1981 ในการปะทะกันระหว่าง Kool Moe Dee และ Busy Bee Starski คืนนั้น Kool Moe Dee ได้เปลี่ยนเวทีปาร์ตี้ให้กลายเป็นสมรภูมิแห่งไรม์
เขาฉีกแนวทางการแร็พเพื่อความบันเทิงทิ้งไป และใช้ความเฉียบคมทางภาษาโจมตีสไตล์ของ Busy Bee อย่างซึ่งหน้า เหตุการณ์ครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การแร็พสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องมือสร้างสรรค์และอาวุธทำลายล้าง
วัฒนธรรมนี้ได้ถูกบันทึกเป็นหน้าประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงในปี 1984 กับเหตุการณ์ "The Roxanne Wars" เมื่อแร็ปเปอร์สาวน้อยวัย 14 ปี Roxanne Shanté ปล่อยเพลง "Roxanne's Revenge" เพื่อตอบโต้เพลง "Roxanne, Roxanne" ของวง U.T.F.O. ความสำเร็จอย่างถล่มทลายของเพลงนี้ได้จุดประกายให้เกิดสงครามเพลงดิสเต็มรูปแบบครั้งแรก มีเพลงตอบโต้ปล่อยออกมาอีกนับไม่ถ้วน สร้างบรรทัดฐานใหม่และแสดงให้เห็นถึงพลังของเพลงดิสในการสร้างชื่อเสียงและขับเคลื่อนวงการ
ไม่นานหลังจากนั้น "The Bridge Wars" (1985) ก็ได้ตอกย้ำความสำคัญของเพลงดิสในฐานะเครื่องมือปกป้องศักดิ์ศรี เมื่อ KRS-One จากบร็องซ์ ปล่อยเพลง "The Bridge Is Over" เพื่อประกาศชัยชนะเหนือ MC Shan จากควีนส์บริดจ์ในศึกชิงความเป็น "ต้นกำเนิด" ของฮิปฮอป สงครามในช่วงทศวรรษ 1980 นี้ ได้วางรากฐานให้เพลงดิสกลายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของฮิปฮอปอย่างสมบูรณ์
จุดทะลุองศาเดือด - เมื่อศิลปะแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น
ขณะที่เพลงดิสในช่วงแรกเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและเขตแดนทางดนตรี แต่ในทศวรรษ 1990 วัฒนธรรมนี้ได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่อันตราย เมื่อมันกลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสองชายฝั่งของอเมริกา หรือที่รู้จักกันในชื่อ East Coast vs. West Coast rivalry
ความบาดหมางเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในปี 1994 เมื่อ ทูพัค ชาเคอร์ (2Pac) ศิลปิน Rapper ตัวแทนฝั่ง West Coast ถูกยิง 5 นัดในล็อบบี้ของสตูดิโอในนิวยอร์ก ทูพัครอดชีวิตมาได้พร้อมกับความเชื่อที่ว่า The Notorious B.I.G. (บิ๊กกี้) ศิลปินไอคอนจากฝั่ง East Coast มีส่วนรู้เห็นกับการโจมตีครั้งนี้ ความสงสัยนั้นถูกโหมกระพือให้รุนแรงขึ้นเมื่อบิ๊กกี้ปล่อยเพลง"Who Shot Ya?" ออกมา แม้จะมีการปฏิเสธว่าเพลงถูกเขียนขึ้นก่อนเกิดเหตุ แต่สำหรับทูพัคและชาว West Coast มันคือการเยาะเย้ยที่ไม่อาจให้อภัย
ความแค้นได้ปะทุถึงขีดสุดในปี 1996 เมื่อทูพัคปล่อยเพลง "Hit 'Em Up" ออกมา เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงการดิส แต่คือการประกาศสงครามอย่างแท้จริง ทูพัคใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายโจมตีบิ๊กกี้และค่าย Bad Boy Records อย่างเจาะจงและเป็นส่วนตัว เขาได้ฉีกทุกกฎเกณฑ์ของเพลงดิสที่เคยมีมา และยกระดับความขัดแย้งจากสงครามน้ำลายไปสู่ความเกลียดชังที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
โศกนาฏกรรมที่เขียนด้วยเลือดและความสูญเสีย
น่าเศร้าที่สงครามครั้งนี้ไม่ได้จบลงแค่ในบทเพลง บรรยากาศของความเกลียดชังที่ถูกสร้างขึ้นได้นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่สั่นสะเทือนวงการเพลงทั้งโลก ในเดือนกันยายน 1996 ทูพัค ชาเคอร์ ถูกยิงเสียชีวิต และเพียงหกเดือนต่อมา บิ๊กกี้ก็ถูกลอบสังหารในลักษณะเดียวกัน
หากอยากลงลึกถึงรายละเอียดแบบลึกซึ้งกว่านี้ ในประเด็น สงครามแรปเปอร์สองฟากฝั่งครั้งนั้น สามารถเข้าไปหาดูเพิ่มเติมได้จากซีรีส์สารคดีเรื่อง Hip-Hop Evolution ทาง Netflix ได้เลย
เรื่องราวของDiss Track จากจุดเริ่มต้นในฐานะเวทีประลองปัญญาทางภาษา สู่การเป็นเชื้อไฟในสงครามที่จบลงด้วยความตายของสองศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของพวกเขา คือบทเรียนสำคัญที่ประวัติศาสตร์ฮิปฮอปต้องจารึกไว้ มันคือเครื่องเตือนใจว่าเมื่อเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างศิลปะและความรุนแรงในชีวิตจริงถูกทำลายลง ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเป็นความสูญเสียที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทดแทนได้
ที่มา : yahoosubstackRoxanne Warsforbestheconversation
ข่าวที่เกี่ยวข้อง