ภาษีทรัมป์จะกลับไปทำร้ายประชาชนตัวเอง Uniqlo, Puma และ Adidas เตรียมปรับราคา
ภาษีทรัมป์กำลังจะกลับมาทำร้าย
ประชาชนของประเทศตัวเอง
ในขณะที่ภาษีศุลกากรของทรัมป์เริ่มจะมีผลในหลาย ๆ ประเทศ เราทุกคนล้วนรู้ดีว่าถ้าสินค้าประเทศไทยส่งออกไปสหรัฐฯ จะเจอภาษีอันนี้ก่อนเป็นด่านแรก 19% แต่ ‘พิชัย ชุณหวชิร’ หัวหน้าทีมเจรจาประเทศไทยก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่าท้ายที่สุด คนที่จะต้องเจอภาระซื้อของแพงจะเป็นคนอเมริกาเสียเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน ซึ่งก็คล้ายกับที่ ‘วอเรน บัฟเฟต์’ เคยกล่าวไว้เหมือนกันว่าสุดท้ายคนที่รับกรรม จ่ายของแพงก็คือประชาชนคนอเมริกาเองนี่แหละ ไม่ใช่เทวดานางฟ้าที่ไหน
และเรื่องนี้จะขอยกตัวอย่างสินค้าบางรายการ แบรนด์บางแบรนด์ที่ใกล้ตัวคนอเมริกาที่พลอยโดนภาษีตรงนี้ไปด้วย ได้แก่ แบรนด์เสื้อผ้าจากญี่ปุ่น ‘Uniqlo’ และอุปกรณ์กีฬาจากแบรนด์เยอรมัน Adidas
คนอเมริกาจะต้องเผชิญการใช้ชีวิตในการซื้อของ 2 แบรนด์นี้ (และอีกหลายแบรนด์) ในราคาที่สูงขึ้น จู่ ๆ เสื้อผ้าใส่ไปทำงานก็แพงขึ้น ชุดกีฬาอุปกรณ์กีฬาที่ต้องใช้แทบทุกวันก็แพงขึ้น เรื่องนี้เป็นอย่างไร ? เราต้องย้อนกลับมาที่เอเชียบ้านเราก่อนอย่างเวียดนาม
เวียดนามเผชิญกำแพงภาษีจากทรัมป์ที่ 20% อาจจะดูเป็นตัวเลขไม่เยอะ พอ ๆ กับไทย แต่อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ตัวเลขนี้เคยเป็นศูนย์ NIKKEI Asia รายงานว่าเวียดนามคือประเทศผู้ผลิตสินค้า Adidas รายใหญ่ที่สุดที่ส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา (เป็นเรื่องปกติที่แบรนด์จากประเทศที่พัฒนาแล้วจะส่งสินค้ามาผลิตที่ประเทศที่กำลังพัฒนา) ประธานกรรมการบริหารของ Adidas ‘บีจอร์น กัลเดน’ (Bjørn Gulden) บอกว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เป็นมูลค่าตัวเลขที่มากกว่า 10 ล้านยูโร และแน่นอนบีจอร์นยังบอกอีกว่า
“กำแพงภาษีทรัมป์จะเพิ่มต้นทุนให้กับสินค้าของเราที่ขายในสหรัฐถึง 200 ล้านยูโรในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้”
และเมื่อสินค้ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าสินค้าทั้งหมดก็คงมีการปรับราคาให้สูงขึ้นตาม ประชาชนก็ซวยไป
คือจริง ๆ ไม่ใช่แค่เวียดนามเท่านั้นที่เป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นฐานการผลิตของแบรนด์เสื้อผ้าหลาย ๆ แบรนด์และส่งออกไปยังอเมริกา ในปี 2023 อเมริกานำเข้าเสื้อผ้าเป็นมูลค่าถึง 79,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (การนำเข้าแบบนี้แปลว่าเงินอเมริกาจะไหลออกนอกประเทศ ก็ไม่แปลกใจที่ทำไมทรัมป์ถึงอยากให้คนหันมาซื้อของในประเทศ)
มูลค่า 79,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สหรัฐนำเข้าเสื้อผ้าจากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนที่มาจากแต่ละประเทศในเอเชีย ดังนี้ (ที่มา คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2567)
จีน 21%
เวียดนาม 18%
บังกะลาเทศ 9%
อินเดีย 6%
อินโดนีเซีย 5%
กัมพูชา 4%
ปากีสถาน 3%
ภูมิภาคอื่น ๆ 35%
ไม่เพียงผู้บริหารระดับสูงของ Adidas เท่านั้นที่ออกมาบอกว่าบริษัทของตนได้รับผลกระทบ แต่ผู้บริหารระดับสูงจาก Uniqlo ก็ออกมาพูดในลักษณะนี้เช่นกัน เนื่องจาก Uniqlo มีโรงงานที่เป็นซัพพลายเออร์ที่อยู่ที่เวียดนาม 60 โรงงาน บังกลาเทศ 27 โรงงาน และกัมพูชา 19 โรงงาน เรื่องนี้ทำเอาผ้าเบรกของบริษัท ‘ทาเคชิ โอคาซากิ’ (Takeshi Okazaki) CFO ของ Uniqlo บอกว่าจะมีการปรับราคาแน่ ๆ
“Uniqlo เราจะปรับราคาอย่างยื่นหยุ่น โดยคำนึงถึงภาษีศุลกากรและต้นทุนอื่น ๆ”
(ปัจจุบัน Uniqlo มีสาขาที่สหรัฐอเมริกา 74 สาขา)
อย่างที่กล่าวไปว่าสุดท้ายคนอเมริกานั่นแหละที่จะเป็นคนที่ต้องจ่ายข้าวของในราคาที่แพงขึ้นเสียเอง เพราะบรรดาแบรนด์เสื้อผ้าต่างประเทศล้วนพึ่งพาการผลิตจากแถบประเทศที่กำลังพัฒนากันทั้งนั้น ที่สำคัญคือขนาด Nike แบรด์สัญชาติอเมริกาแท้ ๆ ยังพึ่งพาการผลิตสินค้าที่เวียดนามสูงถึง 50% และพึ่งพาการผลิตที่อินโดนีเซียสูงถึง 27%
คือ Nike ก็เป็นแบรนด์ USA แหละ แต่ Made in Vietnam
Made เสร็จส่งกลับเข้ามาเจอภาษีทรัมป์
แล้วก็ขายคนอเมริกาต่ออีกทีด้วยราคาที่ต้องปรับสูงขึ้น
นอกเหนือจาก Uniqlo, Adidas, Nike ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ Puma ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบเหมือนกัน โดย Puma แถลงเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ว่าบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสูงถึง 80 ล้านยูโรจากการที่จะส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ ดังนั้นคนอเมริกาก็เตรียมซื้อเสื้อผ้ากีฬาในราคาที่สูงขึ้นได้เลย
เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ รัฐบาลสหรัฐ-ทรัมป์ ไม่รู้หรือ คำตอบคือรู้แน่นอน ขนาดเรา ๆ ขนาดสื่อยังสามารถวิเคราะห์ได้ ทำไมรัฐบาลและทรัมป์จะไม่รู้
พอเป็นแบบนี้ทรัมป์เลยพยายามเรียกร้องให้แบรนด์ต่าง ๆ ว่าถ้าไม่อยากโดนภาษีก็มาตั้งโรงงานผลิตที่อเมริกาสิ จะได้ไม่โดนภาษี แถมการทำแบบนี้ก็เป็นการสร้างงาน สร้างเงินหมุนเวียนในระบบให้กับสหรัฐอเมริกาด้วย คือฟังดูเป็นหลักการที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์แก่คนอเมริกาในระยะยาว แต่จะทำได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่อง
สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับผลกระทบก็กำลังกลายเป็นคนอเมริกาเองนี่แหละ คุณผู้อ่านท่านไหนที่พำนักอยู่สหรัฐอเมริกาเสื้อผ้าแพงขึ้นจริงไหม ? แพงขึ้นมากเท่าไหร่สามารถแบ่งปันประสบการณ์กันได้
ที่มา NIKKEI Asia