KTC โชว์กำไรครึ่งแรก 3,755 ล้าน โต 3.5% ส่วนแบ่งตลาดโตทุกผลิตภัณฑ์
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ครึ่งแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย บริษัทยังคงจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี และรักษาระดับเงินสำรองที่แข็งแกร่งและเพียงพอ โดยอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 1.83% และ NPL Coverage Ratio ที่ 419.9%
โดยในไตรมาส 2/2568 กลุ่มบริษัทยังรักษาฐานรายได้รวมให้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6,812 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมตามการขยายตัวของพอร์ตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงอยู่ที่ 4,340 ล้านบาท จากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของภาคการส่งออกและการผลิตที่ยังเปราะบาง ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน อุตสาหกรรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคโดยรวมยังคงชะลอตัว ในส่วนของบริษัทยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก
โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ลูกหนี้บัตรเครดิตมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 15.4% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 6.8%
นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจให้เกิดผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ตลอดกระบวนการ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ซึ่งเป็นรากฐานในการทำธุรกิจที่จะช่วยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และด้วยปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของบริษัท
ภายหลังจากมีการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในวันที่ 25 มิ.ย.2568 จำนวน 129,204,600 หุ้น และวันที่ 30 มิ.ย.2568 จำนวน 243,262,200 หุ้น คิดเป็นอัตรา 5.01% และ 9.45% ของทุนจดทะเบียน ตามลำดับ ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้มีการกระจายตัวมากขึ้น
โดยมีสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อบริษัทในวงกว้างจากหลากหลายกลุ่มนักลงทุนอย่างชัดเจน โดย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 1 และให้การสนับสนุน KTC เช่นเดิม
รวมถึงโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างผู้บริหารและนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและสร้างพอร์ตคุณภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย.2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 KTC มีฐานสมาชิกรวม 3,508,827 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 107,104 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.2%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) ลดลงอยู่ที่ 1.83% จำนวนสมาชิกบัตรเครดิต 2,813,627 บัตร (เพิ่มขึ้น 3.5%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,925 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.0%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.14% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มูลค่า 146,584 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.4%)
สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 695,200 บัญชี (ลดลง 5.1%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 35,396 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.0%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.32% และมียอดสินเชื่อใหม่ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จำนวน 1,048 ล้านบาท ในส่วนของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มีมูลค่า 1,782 ล้านบาท (ลดลง 29.4%) ซึ่ง KTC ได้หยุดปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือน ส.ค.2566 และปัจจุบันมุ่งเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่
KTC ยังคงดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางในประกาศของ ธปท. ที่ 3/2568 เรื่อง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL) โดยบริษัทได้มีการพิจารณาลูกหนี้แต่ละรายให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร ได้แก่ การเปลี่ยนประเภทหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้เงินกู้สินเชื่อบุคคลระยะยาว มาตรการลดภาระการเงินโดยเครดิตดอกเบี้ยคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตของลูกหนี้ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ การปรับลดค่างวด เป็นต้น
นอกจากนี้ ในฐานะที่ KTC เป็นสถาบันการเงินในกลุ่มธุรกิจของ KTB จึงได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 และได้ขยายความช่วยเหลือสู่โครงการฯ ระยะที่ 2 เพื่อสนับสนุนลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ เมื่อรายได้ฟื้นตัวก็สามารถปิดจบหนี้ได้ โดยสมาชิกที่เข้าเกณฑ์สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ https://www.bot.or.th/khunsoo ระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.2568 KTC ประเมินว่ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่างๆ ข้างต้น จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมผลการดำเนินงาน
ในส่วนของแหล่งเงินทุน กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 58,081 ล้านบาท (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) แบ่งสัดส่วนเป็นเงินกู้ยืมระยะยาว 59% เงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี) 41% และอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.64 เท่า ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 1.97 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่กำหนดไว้ 10 เท่า
รวมทั้งมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) วงเงินกู้ยืมระยะสั้น 20,780 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยอีก 2,000 ล้านบาท โดยมีภาระหนี้หุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในครึ่งหลังของปี 2568 ทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท สภาพคล่องในมือที่สูงกว่าภาระหนี้ที่ใกล้ครบกำหนดถึง 2.2 เท่า บ่งชี้ถึงสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง