โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

รักความสงบ จบที่ “ลุงตู่”

สยามรัฐ

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สถานการณ์ “ไฟลามทุ่ง” ที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ โดยมีกรณี “คลิปเสียงพิฆาต” เป็น “สารตั้งต้น” ยังไม่มีใครตอบได้ว่าความเสียหายจะบานปลาย ขยายวงกว้างออกไป จนนำไปสู่การ “เปลี่ยนตัวนายกฯ” ตามมาด้วยหรือไม่ ?

แรงกดดันมากมายมหาศาลยังคงโถมเข้าใส่ “แพทองธาร ชินวัตร” ไม่หยุดยั้ง ตั้งแต่วันที่ “คลิปเสียง” ถูกฝั่งกัมพูชาออกสู่สาธารณะ ถ้อยคำ สาระ และน้ำเสิยง จากการสนทนาระหว่าง “หลานอิ๊งค์” กับ “อังเคิล” ซึ่งหมายถึง “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในฐานะผู้นำกัมพูชาตัวจริง พูดคุยกันด้วยเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนคนไทย จำนวนไม่น้อย

เมื่อเนื้อหาในการสนทนา ว่าด้วยปัญหาข้อขัดแย้งพื้นที่เขตแดนของสองประเทศนั้น นายกฯแพทองธาร ยังพาดพิงไปถึง “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาคที่ 2 ว่า “ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับเรา”

จากความไม่พอใจ ได้กลายไปสู่การยื่นคำร้องของ “36สว.” ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้แพทองธาร ต้องพ้นจากความเป็นนายกฯ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังเป็นผู้นำรัฐบาลฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง

กรณีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ถูกมองว่านี่คือจุดที่ทำให้ “เกมเปลี่ยน” แม้พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล อีกทั้งยัง “ใจกล้า” ดีเดือด ปรับ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งมี 69 เสียงพ้นจาก “รัฐบาลผสม” ไม่หวั่นไหวต่อปัญหา “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ก็ตามที แต่วันนี้ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยเอง อาจจะหาทางช่วย “ลูกสาว” นายใหญ่ของพวกเขาได้ไม่ง่ายนัก

เพราะอย่าลืมว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียงให้ “รับคำร้อง” จาก36 สว. และยังตามมาด้วยมติ “7 ต่อ 2” เห็นควรสั่งให้แพทองธาร “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยออกมา ซึ่งประมาณการกันว่า อาจใช้เวลานานถึง 3เดือน

เมื่อ แพทองธาร ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจาก “ถูกแช่แข็ง” แม้จะมีตำแหน่ง “รมว.วัฒนธรรม” ที่นั่งควบอีกหนึ่งเก้าอี้ ตามแผนที่เตรียมรับมือกันเอาไว้ผ่านการปรับครม. “อิ๊งค์1 / 2” ทว่าการนั่งในเก้าอี้รมว.วัฒนธรรม ย่อมไม่มีความหมายใดๆ เพราะที่นั่นเป็นเพียง “ที่หลบภัย” ชั่วคราวให้เท่านั้น

ขณะที่เก้าอี้ “ผู้นำรัฐบาล” ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ในยามที่บ้านเมืองกำลังเผชิญหน้ากับปัญหารอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ตลอดจนปัญหาความมั่นคง ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่ง ณ เวลานี้ สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา เป็นฝ่าย “เขย่า” ไทยไม่มีหยุด โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน ยังขู่ไปถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะ “เพื่อนเก่า” ว่าเขาเองยังมีคลิปลับที่อยากบอกคนไทยให้รับรู้ด้วยกันอีกหลายเรื่อง

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีคลิปเสียงฮุนเซน ได้กลายเป็น “เหตุ” จนทำให้ “พ่อ-ลูกชินวัตร” ถูกกดดัน อย่างรุนแรง ทั้งในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ “ผลประโยชน์ของชาติ” ที่ว่าด้วยอธิปไตยของดินแดนไทย และจากจุดนี้นี่เองที่ดูเหมือนว่า ประชาชน และนักการเมืองฝั่งตรงข้าม มองว่า หาก นายกฯยังเป็น “แพทองธาร” ต่อไป ไม่ว่าที่สุดแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ออกมาเป็น “คุณ” หรือ “โทษ” ก็ตาม แต่ “ความไว้วางใจ” ต่อตัวผู้นำรัฐบาล ได้เสื่อมถอยลงไปแล้ว

พรรคส้ม “พรรคประชาชน” ใช้จังหวะนี้เรียกร้องให้ นายกฯแพทองธาร เลือกหนทาง “ยุบสภา” เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ บนความมั่นใจว่า เลือกตั้งเร็วเท่าไหร่ พรรคประชาชนจะ “ชนะถล่มทลาย” จากนั้นจะได้ก้าวขึ้นมาเป็น “รัฐบาล” เสียที

ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ที่เพิ่งเป็น “ฝ่ายค้านป้ายแดง” ประสานเสียงกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรค ร่ำๆเตรียมยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ นายกฯ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงต้อง “เบรก” กันออกไปก่อน

แต่เป้าหมายจี้ให้ นายกฯแพทองธาร “ลาออก” ยังชัดเจนเช่นเดิม ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน” ที่นำโดย อดีตแกนนำคนเสื้อแดง และอดีตแกนนำคนเสื้อเหลือง ร่วมด้วย อดีตแกนนำม็อบกปปส. แสดงพลังชุมนุมใหญ่นัดแรกเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.68 จนผู้คนแน่นขนัดเต็มหน้าถนนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ต่างจี้ให้นายกฯ “ลาออก” สถานเดียว

การเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนตัวนายกฯ มีแนวโน้มว่าจะเข้มข้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อประชาชนและนักการเมือง ต่างเห็นพ้องว่า การมีแพทองธาร อยู่ต่อไป ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายตามมามากขึ้น ซึ่งการยื่นข้อเสนอไปพร้อมๆกับการ “บีบ” ให้แพทองธาร “ลาออก” แทนการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ตามธงของพรรคส้ม นั้นถูกจับตา เกมจะไหลไปสู่ “นายกฯคนนอก” หรือ “รัฐประหาร” ได้หรือไม่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ทั้งพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน “หวั่นไหว” มากที่สุด

โดยเฉพาะทั้งแดงและส้ม ต่างออกมาโจมตีแกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดินว่าต้องการกวักมือเรียกรัฐประหาร เพราะลึกๆแล้วพวกเขาย่อมรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็น “นายกฯคนนอก” หรือ “รัฐประหาร” ล้วนไม่เป็นผลดีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นต่อพรรคเพื่อไทย และครอบครัวชินวัตร รวมทั้งพรรคประชาชนเอง

อย่างไรก็ดีโอกาสที่จะเกิดรัฐประหารนั้นอาจเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะ “ผู้นำเหล่าทัพ” คงไม่มีใครลงมาเล่นเกมกับฝ่ายการเมือง อีกทั้งบทเรียนจากการรัฐประหาร 2-3 ครั้งที่ผ่านมา กองทัพเองถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อปัญหาเกิดจาก “นักการเมือง” ก็ต้องไปจัดการกันเอง

ความหวั่นไหวของเพื่อไทย คือการที่ไม่มีนายกฯแพทองธาร และหมดไพ่ในมือ จากนั้นต้องปล่อยเก้าอี้นายกฯคนใหม่ ส่งกลับไปสู่กระบวนการเลือก นายกฯกันใหม่ในสภา แม้จะไม่เต็มใจ แต่ที่สุดแล้วหนทางนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด

และแม้นาทีนี้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะมีชื่อโดดเด่น ในฐานะแคนดิเดตนายกฯจากภูมิใจไทย แต่นั่นต้องหมายความว่า อนุทินจะต้องได้รับเสียงสนับสนุน จากในสภาฯ และวุฒิสภา ดังนั้นจึงเกิดเป็นข่าวสะพัดว่า ภูมิใจไทยจะจับมือกับ พรรคประชาชน ดีหรือไม่เพื่อผลักดันสูตรนี้ แต่ดูเหมือนว่าพรรคส้ม คงไม่เอาด้วย เพราะปักธงเอาไว้ที่การเลือกตั้งใหม่

นอกเหนือไปจากชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่จะสามารถหยิบขึ้นมาโหวตในรัฐสภา จึงไม่ได้มีแค่ชื่อของอนุทิน หรือชัยเกษม จากพรรคเพื่อไทย เท่านั้นที่ถูกพูดถึง หากแต่ยังมีชื่อ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ซึ่งยังเป็นแคนดิเดตของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งสส.เมื่อปี 2566

ผลการสำรวจจากนิด้าโพล ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมาระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้คะแนนอยู่ในอันดับ 3 สำหรับบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ส่วนอันดับ 1คือผู้นำฝ่ายค้าน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ด้วย “ความนิยม” ที่ประชาชน ยังนึกถึงพล.อ.ประยุทธ์ เช่นนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์ของ “ฝ่ายการเมือง” เริ่ม “รวน” กันถ้วนหน้า

เพราะนี่คือการตอกย้ำว่า ตลอด 2ปีที่รัฐบาลใหม่ ที่ถูกส่งตรงมาจาก “ชินวัตร” ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชน จนเคยทำให้เพลง “คิดถึงลุงตู่” ดังกระหึ่ม บาดหัวใจกันมาแล้ว

การเมืองไทยวันนี้ ไม่เพียงแต่จะฟาดฟันให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสภาพที่ไม่ต่างจาก “ไก่ในเข่ง” ที่จิกตีกันเอง โดยที่ยังไม่มีทางออกและต่างบาดเจ็บกันถ้วนหน้าแล้ว ยิ่งจะกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ในยามที่บ้านเมืองเผชิญกับศึกหลายทาง

สถานการณ์เช่นนี้ แม้ไม่มีรัฐประหาร ไม่มีรถถังออกมาบนถนน แต่ประชาชนยิ่งพากันเหนื่อยหน่าย ไร้ความหวัง หมดความเชื่อมั่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจที่ประชาชน จะหวนกลับไปคิดถึง “บิ๊กตู่” และหวังว่าเมื่อบ้านเมืองเกิดความไม่สงบ จึงอยากให้ “นายกฯลุงตู่” กลับมา !

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สยามรัฐ

“วราวุธ” ยกขบวน สส.ชาติไทยพัฒนา เยือนบ้าน-ขอบคุณ เลขาฯประภัตร ที่เป็นเสาหลักเปิดโอกาส “อนุชา” นั่งรมต. ครั้งแรกในชีวิต

10 นาทีที่แล้ว

การค้าชายแดนซบ!! ลือเปิดด่านหาดเล็กสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ชัดเจน

33 นาทีที่แล้ว

ตามรอยสุนทรภู่ เลียบคลองบางกอกน้อย สู่วังหลัง แหล่งกำเนิดกลอนแปดของมหากวีไทย

58 นาทีที่แล้ว

CAAT แจ้งผู้โดยสารไปญี่ปุ่น ปรับมาตรการพก Power Bank ขึ้นเครื่อง เริ่มใช้ 8 ก.ค.68

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม