โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘ภูมิธรรม’ สั่ง สมช.ฟ้อง ‘กัมพูชา’ ทั้งแพ่ง-อาญา ครม.เคาะ 1.8 หมื่นล้าน กระตุ้น ศก.เฟส 2 รับมือภาษีทรัมป์

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลง “ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน” ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

  • ‘ภูมิธรรม’ สั่ง สมช.ฟ้อง ‘กัมพูชา’ ทั้งแพ่ง-อาญาในระดับโลก
  • เยียวยาทหารเสียชีวิต 10 ล้าน -ปชช. 8 ล้าน/ราย
  • มติ ครม.เคาะ 1.8 หมื่นล้าน กระตุ้น ศก.เฟส 2 รับมือภาษีทรัมป์
  • จัดงบ 404 ล้าน เยียวยาทหารเสียชีวิต 10 ล้าน ปชช. 8 ล้าน
  • ซื้อรถโบกี้บรรทุกสินค้า 946 คัน 2,459 ล้าน
  • นายกฯ พบนักลงทุนระดับโลกกว่า 30 บริษัท พรุ่งนี้
  • เด้ง ‘พรพจน์’ นั่งรองปลัด มท. – ตั้ง ‘ขจรเกียรติ’ คุมกรมที่ดิน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายภูมิธรรม แถลง “ก้าวผ่านสองวิกฤต เดินหน้าไปด้วยกัน” ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล และได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ก้าวผ่านสถานการณ์สำคัญสองประการ ที่ท้าทายและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจของประเทศ เราเผชิญกับสถานการณ์ความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้อดทนอดกลั้นต่อการยั่วยุ การนำเสนอข่าวปลอมที่ทำลายความไว้วางใจทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ที่สำคัญ รัฐบาลยึดมั่นในการเลือกใช้แนวทางสันติวิธีภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และตามหลักมนุษยธรรมมาโดยตลอด

เราชาวไทยมีเอกลักษณ์ที่สืบทอดกันมา คือ ความเป็นคนที่รักสงบ อยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเข้าใจในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีต่อกันและกัน แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่การสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยปฏิบัติการที่ไร้มนุษยธรรม รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ในทันที ทั้งทางการทหาร การข่าว และการต่างประเทศอย่างรอบด้าน และเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตย และชีวิตของประชาชนในชาติ และทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนได้สิ้นสุดลงแล้วเบื้องต้น และได้เริ่มเข้าสู่การเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันผ่านการประชุม GBC ตามหลักสันติวิธี ซึ่งประเทศไทยของเราได้ยึดมั่นมาโดยตลอด

เยียวยาทหารเสียชีวิต 10 ล้าน -ปชช. 8 ล้าน/ราย

รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวทุก ๆ ครอบครัว และพี่น้องประชาชนทุกท่านในจังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งแม้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น
จะประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แต่รัฐบาลจะขอผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อชดเชยความสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และรายได้ของพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิต รวมรายละ 10,000,000 บาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รวมรายละ 8,000,000 บาท พร้อมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชน

สั่ง สมช.ฟ้อง ‘กัมพูชา’ ทั้งแพ่ง-อาญาในระดับโลก

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีข้อสั่งการจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีดังนี้

1. เรื่องการดำเนินคดีตามกฎหมาย จากกรณีที่กัมพูชาใช้กำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์รุกรานอธิปไตยของไทยจนเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กำลังพลและทางราชการเป็นจำนวนมาก โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ กรณีที่ต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างไร ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ทั้งใน และ ระดับโลก รวมทั้งกฎหมายอื่นๆด้วย จึงขอมอบหมายให้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลัก ดำเนินการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย เช่น กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และอื่นๆ โดยให้เชิญเลขาธิการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุม เพื่อช่วยให้คำแนะนำทางกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว รวมทั้งแจ้งให้ประชาชนผู้เสียหายทราบถึงสิทธิในการฟ้องร้องคดีอาญา และฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สั่งการด้วย

2. สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา แม้มีการหยุดยิงแล้ว โดยขณะนี้การประชุม GBC ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ก็กำลังดำเนินการกันอยู่ ในช่วงวันที่ 4 -7 สิงหาคมนี้ แต่ยังมีภารกิจภายในประเทศที่หลายหน่วยงานยังต้องดำเนินการ คือ

2.1 การเก็บกู้ วัตถุระเบิด ที่กองทัพกัมพูชายิงเข้ามา และยังมีหลงเหลืออยู่ในชุมชนและพื้นที่ ของพลเรือน ขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทั้งกับเจ้าหน้าที่และประชาชน

2.2 ช่วงที่ผ่านมาพบ “โดรน” ที่บินเข้ามามากผิดปกติ และฝ่าฝืน ข้อห้ามที่ทางการประกาศไว้ ขอให้สำนักงานการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ ฝ่ายความมั่นคง จัดระบบการรับแจ้งเหตุจากประชาชน และตรวจสอบข้อเท็จจริงหากพบว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย ขอให้เร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดทันที

2.3 ให้ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย เร่งประเมินสถานการณ์ร่วมกับ ศบ.ทก. ของรัฐบาล และกองทัพ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนทยอยให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาได้อย่างปลอดภัย

3. เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ช่วงที่ผ่านมา การเผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) มีปริมาณเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการเผยแพร่ผ่านทาง Social media ในช่วงเวลาที่สถานการณ์มีความอ่อนไหว และประชาชนมีความต้องการทราบข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในสถานการณ์ปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งประเทศไทยถูกโจมตีทางออนไลน์ จากการเผยแพร่ข่าวปลอมฝ่ายตรงข้าม ที่พยายามบิดเบือนและสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงาน ช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนรับฟังข่าวสารด้วยความระมัดระวัง ให้ตรวจสอบก่อนที่จะส่งต่อข่าวหรือข้อมูล สำหรับหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะหน่วยงาน ด้านความมั่นคง ต้องมีการมอบหมายผู้ติดตามข่าวสารตลอดเวลาเมื่อพบ Fake News จะได้แก้ไข / ชี้แจง และตอบโต้ได้อย่างให้ทันท่วงทีนอกจากนี้ ขอให้กระทรวงดีอี ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ และดำเนินการตรวจติดตาม Fake News ที่ถูกเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดโดยเร็ว รวมทั้งประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามกฎหมายในกรณีที่มีความจำเป็นด้วย

นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่า ที่ประชุมได้แจ้งให้ ครม.วันนี้ ทราบว่า ในการประชุม ครม. นัดพิเศษ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ดังนี้

(1) เรื่องร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ และไทย

(2) เรื่อง การช่วยเหลือเยียวยา ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันของไทย และกัมพูชา ซึ่งได้เชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาประชุมร่วมกัน ตามมาตรา 8 ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุม ครม.ฯ ซึ่งตามขั้นตอนต้องแจ้งมติของทั้ง 2 เรื่อง ให้ ครม.ทราบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

มติ ครม.มีดังนี้

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษก ฯ และ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

จัดงบ 404 ล้าน เยียวยาทหารเสียชีวิต 10 ล้าน ปชช. 8 ล้าน

นายจิรายุ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้

1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์ สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบฯ ตามขั้นตอนต่อไป

2. เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ (ต่อราย) ดังนี้

  • เจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น ทหาร ทหารพราน ตำรวจ ตชด.) เสียชีวิตและทุพพลภาพ 10 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 1 ล้านบาท บาดเจ็บมาก 5 แสนบาท
  • ประชาชน เสียชีวิตและทุพพลภาพ 8 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 8 แสนบาท บาดเจ็บมาก 4 แสนบาท

3. เห็นชอบกรอบวงเงินงบฯ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์ สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (วันที่ 16 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2568) จำนวน 404.60 ล้านบาท โดย (1) เบิกจ่ายจากงบกลางฯ เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี และ (2) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยตามระเบียบ นร. ว่าด้วยการรับบริจาคและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้จัดเตรียมข้อมูลต่อไป ในการเยียวยาทรัพย์สินที่มีความเสียหาย

นายกฯ พบนักลงทุนระดับโลกกว่า 30 บริษัท พรุ่งนี้

นายจิรายุ กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมจัดการหารือระดับสูงระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ในวันพุธที่ 6 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมงานเปิดตัวโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ในเวลา 11.00 น.

การหารือระดับสูงดังกล่าว จัดขึ้นภายใต้ชื่องาน “Prime Minister Meets Investors : Confidence in Thailand’s Future – Prime Minister’s Dialogue with Global Investors” เป็นการหารือระดับสูงระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในไทย ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเศรษฐกิจไทย และทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในไทย ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนในการดำเนินธุรกิจในไทยต่อไป รวมถึงการตัดสินใจเข้ามาลงทุน หรือ ขยายการลงทุนในไทย

ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำเข้าร่วมมากกว่า 30 บริษัท ใน 4 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio – Circular – Green Economy)

ภายหลังการหารือฯ รัฐบาล โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะจัดงานเปิดตัวโครงการความร่วมมือกับสถานประกอบการ 6 แห่ง เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ในการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งต้องการแรงงานทักษะสูงรองรับการลงทุนเป็นจำนวนมาก

“รัฐบาลเดินหน้าเชิงรุกดึงดูดการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ” นายจิรายุ กล่าว

ซื้อรถโบกี้บรรทุกสินค้า 946 คัน 2,459 ล้าน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) จำนวน 946 คัน วงเงินลงทุน 2,459.97 ล้านบาท โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศ และต่างประเทศมาประกอบขึ้นภายในประเทศ เพื่อนำมาทดแทนแคร่บรรทุกสินค้าเก่าที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน และเพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2566 – 2570 (แผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย) ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ 2569 และแผนปฏิบัติการ ประจำปีงบประมาณ 2569

การจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพของระบบรางในการรองรับสินค้าน้ำหนักมาก อาทิ เกลืออุตสาหกรรม ปุ๋ย เม็ดพลาสติก และน้ำตาล ที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถโบกี้รุ่นใหม่นี้จะเป็นขนาดพิกัดบรรทุก 62 ตัน รองรับได้ 2 ตู้ต่อคัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาคอุตสาหกรรมให้ความนิยมอย่างมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน การรถไฟฯ มีรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าใช้งานอยู่รวมทั้งสิ้น 1,062 คัน แบ่งเป็น ขนาดพิกัดบรรทุก 39 ตัน จำนวน 146 คัน ขนาดพิกัดบรรทุก 45–50 ตัน จำนวน 608 คัน และขนาดพิกัดบรรทุก 62 ตัน จำนวน 308 คัน ซึ่งการจัดหารถเพิ่มเติมอีก 946 คัน จะช่วยขยายตลาดขนส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน การรถไฟฯ มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเฉลี่ยอยู่ที่ 13 ล้านตันต่อปี หากจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าได้ตามเป้าหมาย จะเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งได้มากกว่า 9 ล้านตันต่อปี ทั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ในฐานะศูนย์กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในด้านการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากแหล่งผลิตไปยังศูนย์ขนส่งทางราง เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง (SRTO:Single Rail Transfer Operator) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก

โครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ ไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ราง (Shift Mode) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายวีริศ กล่าวด้วยว่า ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แล้ว การรถไฟฯ จะเร่งดำเนินการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 และเปิดประกวดราคาได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2569 จากนั้นจะเร่งพิจารณาผลการประกวดราคา และลงนามในสัญญาให้ได้ภายในเดือนกันยายน 2569 โดยตั้งเป้าเริ่มประกอบรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าลอตแรกได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2570

สำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าในครั้งนี้ จะดำเนินการในรูปแบบการส่งมอบเป็น 5 ลอต ตามแผนดังนี้

  • ลอต 1 จำนวน 154 คัน คาดว่าจะเริ่มทดลองวิ่งได้ในเดือนตุลาคม 2570 มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางไอซีดี – แหลมฉบัง ช่วงเดือนมกราคม 2571
  • ลอต 2 จำนวน 165 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย – แหลมฉบัง 132 คัน และอรัญประเทศ – แหลมฉบัง 33 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2572
  • ลอต 3 จำนวน 198 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางเชียงของ – แหลมฉบัง 99 คัน และนครพนม – แหลมฉบัง 99 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2573
  • ลอต 4 จำนวน 264 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหนองคาย – แหลมฉบัง คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2574
  • ลอต 5 จำนวน 165 คัน มีแผนนำไปใช้ในเส้นทางหาดใหญ่ – แหลมฉบัง 99 คัน และอุบลราชธานี – แหลมฉบัง 66 คัน คาดว่าเป็นช่วงเดือนมกราคม 2575

เคาะ 1.8 หมื่นล้าน กระตุ้น ศก.เฟส 2 รับมือภาษีทรัมป์

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คณะกรรมการฯ) เสนอ ดังนี้

1. รับทราบมติคณะกรรมการฯ ในคราวการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ดังนี้

1.1 รายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรร และผลการอนุมัติจัดสรรงบประมาณ สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท (โครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกำกับ และติดตามผลการดำเนินงาน ตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2

1.2 หลักการ และแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 42,000 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน กับเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การรับมือ กับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ (2) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา (3) การพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อให้ได้ผล ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน

1.3 มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ศึกษาแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ด้านการช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น

2. เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 [กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.)] วงเงินไม่เกิน 18,488.3679 ล้านบาท

โดยอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) และ กยศ. นำโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ตามข้อ 6 ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ) เพื่อดึงดูดและรักษาการลงทุนจากผู้ประกอบรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (เช่นการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การท่องเที่ยวระดับคุณภาพ การแพทย์ครบวงจร อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น) ด้วยการบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา และมาตรการภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax)และเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

โดยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ จะให้การสนับสนุนในลักษณะเงินอุดหนุนตามสัดส่วนที่กำหนด สำหรับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรไทย การลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา การลงทุนเพื่อการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการลงทุนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการลงทุนเพื่อยกระดับสู่ industry 4.0 เป็นต้น ใช้งบประมาณวงเงิน 10,000 ล้านบาท

2) โครงการการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจชะลอตัวในปี 2568 (กยศ.)เพื่อให้เงินกู้ยืมที่เป็นค่าครองชีพและค่าเล่าเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา สำหรับนักเรียน/นักศึกษา ที่เป็นผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/ผู้กู้ยืมเงินรายเก่า ซึ่งจะทำให้นักเรียน/นักศึกษาได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไม่พักการศึกษาหรือเลิกการศึกษาในปีการศึกษา 2568 ซึ่งเป็นการลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อวางรากฐานเติบโตของประเทศ ใช้งบประมาณวงเงิน 8,488.3679 ล้านบาท

โดยมอบหมายให้ สงป. ดำเนินการให้หน่วยรับงบประมาณ จัดทำข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 ตามแบบฟอร์มการพิจารณาโครงการ ตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2568 และรายละเอียดข้อมูลมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กค. นำเสนอข้อเสนอโครงการ/รายการ กระตุ้นเศรษฐกิจฯ ระยะที่ 2 ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติหลักการของข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวต่อไป พร้อมทั้งเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมาย สกท. และ กยศ. นำโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเสนอขอรับจัดสรรงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ตามข้อ 6 ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 กฎระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงหน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รอบคอบ และเกิดความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจ

พร้อมทั้ง มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ศึกษาแนวทางการทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้ผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tarff) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น

กำหนด มอก.ผลิตภัณฑ์กระดาษใส่อาหาร

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้

1) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหาร ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ….ซึ่งมีสาระสำคัญ เป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหาร ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

2) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหาร สำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการควบคุมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

โดยการอนุมัติหลักการทั้งสองร่างดังกล่าว เพื่อให้มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากสารเคมีที่เป็นอันตราย และสารก่อมะเร็งที่อยู่ในกระดาษสัมผัสอาหาร รวมทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชน กิจการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมใหม่)

ทั้งนี้ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ระบุให้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านควานความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ไม่ไม่ไล่สีในเนื้อกระดาษสำหรับใช้กับอาหารทั่วไปและอาหารบรรจุขณะร้อน (hot-fill) ทั้งที่สัมผัสอาหารโดยตรงและไม่สัมผัสอาหารโดยตรง ตามรายละเอียด ดังนี้

  • กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึง กระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ ที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้ห่อหุ้ม บรรจุ รวบรวบรวม หรือ รองรับอาหาร
  • ภาชนะกระดาษ หมายถึง ภาชนะซึ่งใช้บรรจุหรือรองรับอาหาร เช่น จาม ชาม ถาด ถ้วย กล่อง ถุง ที่ทำจากกระดาษหรือกระดาษแข็ง รวมถึง รวมภาชนะที่ทำจากเยื่อกระดาษ (molded pulp article)
  • ภาชนะทำจากเยื่อกระดาษ หมายถึง ภาชนะที่เกิดจากการขึ้นรูปเยื่อกระดาษเป็นภาชนะแล้วนำไปทำให้แห้ง
  • สารเคมีในกระบวนการผลิด หมายถึง สารเคมีทุกชนิดที่ใช้การผลิต ใช้ปรับปรุงคุณสมสมบัติเดิมของกระดาษหรือเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับกระดาษ เช่น สารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ (functional additive) และสารช่วยในกระบวนการผลิต (production aid) รวมถึงสารที่ช่วยเสริมการทำงานของสารเดิมแต่งเชิงหน้าที่ทำความสะอาดเครื่องจักรผลิตกระดาษสัมผัสอาหาร

ขณะที่ หลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ระบุให้ มาตรการผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กำหนดคุณลักษณะด้านความปลอดภัยของกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ทำจากเยื่อบริสุทธิ์ผสมเส้นใยสังเคราะห์ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้สัมผัสอาหาร เพื่อกรองของเหลวร้อน อุ่นอาหาร หรือ ปรุงอาหาร ที่อุณหภูมิไม่เกิน 220 องศาเซลเซียส

ขยายเวลาปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย (โครงการฯ) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ลุ่มน้ำยม ยังไม่สามารถบริหารจัดการภายในลุ่มน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่สามารถสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ บริเวณตอนบนของลุ่มน้ำยม ส่งผลให้เกิดปัญหาอุทกภัยในฤดูน้ำหลาก และปัญหาภัยแล้งเป็นประจำโดยเฉพาะในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำยม ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี สร้างความเสียหายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จังหวัดสุโขทัย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทานจึงได้วางแผนการดำเนินโครงการ 2 โครงการ ได้แก่

(1) โครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย [คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ] และ

(2) โครงการปรับปรุงคลองยม – น่าน จังหวัดสุโขทัย (โครงการฯ) (คณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติโครงการแล้วเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 และ กษ. ได้เสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการมาในครั้งนี้)

โดยเป็นการตัดยอดน้ำบางส่วนออกจากแม่น้ำสายหลัก และควบคุมปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัยให้คงเหลือประมาณ 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเพียงพอกับศักยภาพของแม่น้ำยมในบริเวณตัวเมือง โดยเป็นการปรับปรุงคลองระบายน้ำ 2 คลอง ได้แก่ ปรับปรุงคลองหกบาท และคลองยม – น่าน และก่อสร้างคลอง 1 ขวา (ช่วยเพิ่มการระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่คลองหกบาท) เพื่อให้คลองหกบาท สามารถรองรับน้ำจากแม่น้ำยมได้ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แล้วระบายน้ำเข้าสู่คลองยม – น่าน จำนวน 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อระบายน้ำลงสู่แม่น้ำน่านและคลองยมเก่า

ในครั้งนี้ กษ. ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการฯ โดยสาเหตุที่ต้องมีการขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการฯ เนื่องจาก

1) ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจากเดิม 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2567) เป็น 8 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-พ.ศ. 2570)

สาเหตุ

  • การจัดหาที่ดินเกิดความล่าช้า เนื่องจากราษฎรเจ้าของที่ดินไม่ยอมยื่นคำขอรังวัดทำให้ไม่สามารถรังวัดที่ดินได้ จึงจำเป็นต้องเสนอขอออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
  • สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2009 ผู้รับจ้างประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร – เครื่องมือไม่เพียงพอ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้
  • การบริหารจัดการน้ำระหว่างก่อสร้าง โดยในช่วงฤดูน้ำหลากมีความจำเป็นต้องใช้คลองยม – น่าน ในการระบายน้ำจากแม่น้ำยมลงสู่แม่น้ำน่านเพื่อป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นตัวเมืองสุโขทัยและอำเภอใกล้เคียง ส่งผลให้ไม่สามารถปฏิบัติงานก่อสร้างได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว

2) เพิ่มกรอบวงเงิน จากเดิม 2,875 ล้านบาท (มติคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2563) เป็น 3,069 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 194 ล้านบาท)

สาเหตุ

  • ราคาที่ดินสูงกว่าราคาประเมินเบื้องต้น และการปรับค่าชดเชยที่ดินให้สูงขึ้น เพื่อให้ราษฎรที่ได้รับผลกระทบยอมรับค่าที่ดิน
  • การปรับแบบก่อสร้าง และการเพิ่มเติมอาคารประกอบ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ประโยชน์และลดผลกระทบต่อราษฎรในพื้นที่

ทั้งนี้ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง ตามที่ กษ.เสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป. เห็นว่า สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป

รวมถึงกรมชลประทานจะเร่งรัดดำเนินการโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน และ สทนช. เห็นว่า กษ. (กรมชลประทาน) ควรเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่เสนอเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม และระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณ พร้อมทั้งให้รายงานความก้าวหน้าของโครงการต่อ กนช. ทุก 6 เดือน

เด้ง ‘พรพจน์’ นั่งรองปลัด มท. – ตั้ง ‘ขจรเกียรติ’ คุมกรมที่ดิน

นายจิรายุ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.ได้มีมติเห็นชอบ/อนุมัติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้

1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง รวม 6 ตำแหน่ง เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ประกอบด้วย

1. นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

2. นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

3. นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมที่ดิน

4. นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง สำนักงานปลัดกระทรวง

5. นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง

6. นายสันติ รังษิรุจิ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานปลัดกระทรวง

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

3. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

1. โอน นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว

2. ย้าย นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

4. การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอ รับโอน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจำเป็น ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 โดยให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้รับอยู่เดิม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตั้งเป็นต้นไป

ทั้งนี้ ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอน และรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบด้วยแล้ว

5. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ดังนี้

1. นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

2. นายสุรินทร์ วรกิจธำรง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ

3. นายนิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

4. นายยงยุทธ นาควิโรจน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป่าไม้

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เพิ่มเติม

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

“สิ่งแวดล้อมที่สะอาดและดีต่อสุขภาพเป็นสิทธิมนุษยชน” ศาลสูงสุดยูเอ็นวินิจฉัย

8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัฐบาลแถลงเยียวยาทหาร-ประชาชนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 8-10 ล้านบาท

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ผู้ช่วย รมต.กต. ยอมรับ! ไทยเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำในสงคราม

TOJO NEWS

ไทยตอนบน ‘ฝนฟ้าคะนอง-ลมกระโชกแรง’ เตือน 5 จังหวัดตกหนัก-ระวังอันตราย

เดลินิวส์

กทม.ของบปี69 ติดตั้งเครื่องวัดแรงสั่นแผ่นดินไหว 8 แห่ง 12 ล้านบาท

สยามรัฐ

อุตุฯ เตือน 20 จังหวัด ฝนถล่มหนัก ระวังอันตรายจากลมกระโชกแรง

สยามรัฐ

ไปซัดกันนอกโลก!สหรัฐฯเร่งแผนสร้างเตานิวเคลียร์บนดวงจันทร์ หวังนำหน้าจีน-รัสเซียในศึกอวกาศ

Manager Online

เดลินิวส์ 6 ส.ค.ดัน 8 เงื่อนไขไล่บี้เขมร บิ๊กเล็กยันไทยไม่เสียประโยชน์

เดลินิวส์

เจาะสถิติหวย 16ส.ค.ย้อนหลัง 10 ปี! เลขไหนเคยออกซ้ำ? เลขไหนโผล่บ่อย? เช็กเลย

เดลินิวส์

กรมอุตุฯ เตือน ฝนตกหนัก ภาคเหนือ-อีสานตอนบน พร้อมลมกระโชกแรง

PostToday

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...