“ทนายเชาว์” บุกกองปราบฯ ทวงถามความคืบหน้า คดีอธิบดีศาลลวนลามเจ้าหน้าที่หญิง บนขบวนรถไฟสายกรุงเทพ-เชียงใหม่
“ทนายเชาว์” บุกกองปราบฯ ทวงถามความคืบหน้า คดีอธิบดีศาลลวนลามเจ้าหน้าที่หญิง บนขบวนรถไฟสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ หลัง คดีอืด กว่าหนึ่งปี ยังไม่ส่งฟ้อง พร้อมยื่น มติ ก.ต. ไล่ออกอธิบดีฉาว เป็นพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวน
วันที่ 20 ส.ค. 2568 เวลา 10.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเชาว์ มีขวด ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์สาวที่ถูกอธิบดีผู้พิพากษาศาลฯคนหนึ่งลวนลาม หมายจะข่มขืน บนขบวนรถไฟสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึง ผู้บังคับการปราบปราม เพื่อเร่งรัดคดี หลังจากได้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค.67 ผ่านไปปีกว่า คดีอืดยังไม่สามารถสรุปสำนวนส่งพนักงานในการฟ้องคดีต่อศาล ทั้งที่พยานหลักฐานแน่น
นายเชาว์ กล่าวว่า ตามที่นางสาว ส.(นามสมมุติ) ได้แจ้งความร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 4 กองบังคับการกองปราบ ให้ดำเนินคดีกับนาย ย. (นามสมุติ)อธิบดีศาล ในความผิดฐานกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายและความผิดอื่นตามที่ปรากฏในทางสอบสวน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 เวลาได้ล่วงเลยไป 1 ปีเศษแล้ว แต่พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถสรุปสำนวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลแต่อย่างใด ประกอบกับขณะนี้มีข้อเท็จจริงกรณีที่ผู้กล่าวหาได้ร้องเรียนต่อประธานศาลฎีกาและคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมให้สอบสวนลงโทษทางวินัยแก่ อธิบดีคนดังกล่าว ซึ่งปรากฏว่า ในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ครั้งที่ 20/2568 วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเรื่องพิจารณารายงานผลการสอบสวนข้าราชการตุลาการ 1 ราย คือ อธิบดีคนดังกล่าว กรณีกระทำการในลักษณะคุกคามทางเพศ ทำร้ายร่างกาย และทำให้ทรัพย์สินของผู้ร้อง ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับความเสียหาย อันเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสม ทำให้เสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นการไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและ ประเพณีปฏิบัติของทางราชการ และจริยธรรมของข้าราชการตุลาการตามที่ ก.ต. กำหนด เป็นการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เห็นควรลงโทษไล่ออกจากราชการ
นายเชาว์ ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจ ผู้เสียหาย จึงมายื่นหนังสือถึงผู้บังคับการปราบปรามเพื่อกำชับพนักงานสอบสวนเร่งรัดการพิจารณาคดีนี้โดยไม่ชักช้า ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่ผู้กล่าวหา(ผู้เสียหาย) ควรจะได้รับจากกระบวนการสอบสวนโดยรวดเร็วและเป็นธรรม และยื่นมติ ก.ต.ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคดีด้วย