สำรวจแนวคิดเบื้องหลังงาน ‘Rueben Wu’ ศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติจากเทคโนโลยี
อย่างที่ทุกคนเห็นในปัจจุบันว่า โลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธรรมชาติที่เราเคยมองว่ามันสวยงาม ก็เริ่มทยอยเลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อย ผู้คนมากมายต่างเฟ้นหาวิธีที่จะรักษาความงดงามเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งบางสิ่งที่เรามองข้าม อย่าง ‘ศิลปะ’ ก็อาจมีบทบาทในการอนุรักษ์มากกว่าที่เราคิด
แล้วเราจะทำให้ผู้ที่เข้ามาชมงานศิลปะรับรู้หรือตระหนักต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติได้อย่างไร?
นี่ถือโจทย์สำคัญที่ทำให้ รูเบน วู (Ruenen Wu) ศิลปิน ช่างภาพ และนักดนตรีชาวอังกฤษ ลุกขึ้นมาใช้งานศิลปะ ในการทำให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญและความงดงามของธรรมชาติ ด้วยการผสานโลกของเทคโนโลยีและโลกของศิลปะ พร้อมใช้พวกมันเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องราวของธรรมชาติ
แม้ฟังดูแล้ว เทคโนโลยี ศิลปะ และธรรมชาติ จะเป็น 3 สิ่งที่ดูไม่ได้อยู่ในแวดวงใกล้กันสักเท่าไหร่ หากแต่สิ่งเหล่านี้กลับสามารถร้อยเรียงกันได้อย่างน่าสนใจในผลงานทุกชิ้นของรูเบน
อะไรคือแนวคิดเบื้องหลังสำคัญที่อยู่ภายในผลงานศิลปะของรูเบน วู แล้วการโคจรมาเจอกันของโลกเทคโนโลยีกับโลกศิลปะ มีส่วนต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติได้อย่างไรบ้าง?
ศิลปะของรูเบน วู
ถ้าจะเข้าใจผลงานทุกชิ้นของรูเบน วู อย่างลึกซึ้ง ก็คงต้องขอเริ่มกันที่เรื่องราวชีวิตของรูเบนกันเสียก่อน เพราะร้อยทั้งร้อยของงานศิลปะ ล้วนเป็นภาพสะท้อนเรื่องราวในชีวิตของศิลปินเองนี่แหละ
และจุดเริ่มต้นของศิลปินหลายคนก็มักเริ่มต้นมาจากช่วงชีวิตในวัยเด็ก รูเบนก็เช่นกัน เขาสนใจศิลปะมาตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยความที่เป็นเด็กเก็บตัว แถมไม่เก่งกีฬา ทำให้เขาแทบจะเข้ากับใครในโรงเรียนไม่ได้เลย สิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตวัยเด็กของรูเบนผ่านไปได้ คือ ศิลปะ งานออกแบบ และดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาและโอบรับตัวเขาในวัยเด็กเอาไว้
ความชอบเหล่านี้ของรูเบน กลายมาเป็นพื้นฐานสำคัญทางความคิดของเขาจวบจนโตเป็นผู้ใหญ่ ในวันที่เขาได้ทำงานอันต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มตัว เขามักตระหนักอยู่เสมอว่า การไม่เข้ากับใครเลย คือความโดดเด่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หลายคนต้องการ และเขามีมันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
นอกจากนี้ศิลปินจากยุคโรแมนติกอย่าง คาสปาร์ ดาวิด เฟรดริค (Caspar David Friedrich) ยังมีอิทธิพลทางความคิด ตลอดจนเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อผลงานและภาพถ่ายของรูเบนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับภาพ 'Wanderer above the Sea of Fog' ซึ่งชวนให้เรามองออกไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ พร้อมสัมผัสความลึกลับของธรรมชาติในภาพวาด
ผลงานส่วนใหญ่ของรูเบนจึงคล้ายคลึงกับภาพดังกล่าวของคาสปาร์ โดยเน้นไปที่การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของการสำรวจธรรมชาติอันแสนยิ่งใหญ่ ทั้งจากโลกที่อยู่รอบตัวและในกระบวนการสร้างสรรค์ของตนเอง พร้อมด้วยคอนเซปต์การหลอมรวมระหว่างความเป็นจริงกับสิ่งที่เรายังไม่อาจล่วงรู้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่รูเบนจะก้าวสู่เส้นทางช่างภาพและศิลปินอย่างเต็มตัว เขาเคยร่วมกับเพื่อนอีกสามคนในเมืองลิเวอร์พูล ก่อตั้งวงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ชื่อ ‘Ladytron’ เมื่อปี ค.ศ. 1999 โดยรับหน้าที่เล่นเครื่องซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) ประจำวง
ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตกับวง เขามักเจียดเวลาออกมาถ่ายภาพเป็นกิจกรรมเสริม กระทั่งในปี 2011 รูเบนตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปถ่ายภาพเพียงอย่างเดียว โดยจองทริปสิบวันไปที่ สวาลบาร์ด (Svalbard) ดินแดนที่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่สุด ตัวเขาได้พกกล้องฟิล์มเก่าไปหกตัว ออกสำรวจความเวิ้งว้างของอาร์กติก ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่เพิ่งกลับมาหลังจากห่างหายไปจากท้องฟ้ากว่าหลายเดือน ประสบการณ์ครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในฐานะช่างภาพมืออาชีพ ที่ทำให้ตัวเขารู้ว่ามันคือสิ่งที่อยากทำไปตลอดชีวิต
จุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตของรูเบน เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่ง ได้ชวนให้มาถ่ายภาพกับโปรเจกต์ศิลปะเชิงพาณิช จากงานนั้น ทำให้ตัวเขาได้รู้จักช่างภาพคนหนึ่ง ซึ่งช่างภาพคนนั้นได้แนะนำให้เขาลองนำผลงานไปโชว์ในงานพบปะแลกเปลี่ยนเครือข่ายที่เรียกว่า ‘Portfolio Review’ และในงานนั้น รูเบนก็ได้พบกับผู้อำนวยการฝ่ายภาพถ่ายของ National Geographic
ในเวลาต่อมา ผู้อำนวยการฯ ก็ได้ชวนตัวของรูเบนไปประชุมประจำปีของ National Geographic ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และไม่นานหลังจากนั้น นิตยสารก็ได้มอบหมายภารกิจให้เขาออกไปถ่ายภาพสโตนเฮนจ์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ ภาพนั้นได้ขึ้นปกนิตยสารประจำเดือนสิงหาคม 2022 ด้วย จึงกลายเป็นความสำเร็จในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่รูเบนเริ่มหันมาทำอาชีพช่างภาพอย่างจริงจัง
เทคนิคสำคัญที่ทำให้ภาพของรูเบนไม่ใช่เพียงภาพวิวทิวทัศน์ธรรมดา แต่กลายเป็นงานศิลปะจากภาพถ่าย นั่นคือ การใช้โดรนเลเซอร์ และเปิดรับแสงของกล้องให้นานกว่าปกติ เพื่อให้เกิดเป็นรูปร่างรูปทรงต่างๆ ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ทางธรรมชาติ
รูเบนได้พัฒนาภาษาภาพถ่ายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสานการถ่ายภาพ งานออกแบบ และเทคโนโลยีเชิงสมมุติ (Speculative Technology) เข้าด้วยกัน อย่างในงาน Thin Places วูถ่ายทอดภาพภูมิทัศน์ที่ดูราวกับว่าแสงประดิษฐ์และพื้นที่ธรรมชาติมาบรรจบกันครึ่งทาง ภาพทั้งหมดถูกบันทึกในสถานที่จริงแบบช็อตเดียว (Single Exposure) โดยใช้โดรนและเลเซอร์วาดลวดลายเรขาคณิตชั่วขณะลงบนสภาพแวดล้อม
การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในงานถ่ายภาพทิวทัศน์ทั่วไป กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความงดงามของธรรมชาติกับจินตนาการของมนุษย์ ทำให้ภาพถ่ายไม่ได้เป็นเพียงการบันทึกสิ่งที่ตาเห็น หากแต่เป็นการสร้างประสบการณ์อีกรูปแบบให้แก่ผู้ชม ตลอดจนการตีความธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง
เมื่อโลกเทคโนโลยีมาบรรจบโลกศิลปะเพื่องานอนุรักษ์
ลองนึกถึงภาพถ่ายของทะเลสาบอันแสนกว้างใหญ่ที่ถูกขีดเส้นเรืองแสงด้วยโดรนและเลเซอร์ ทุกคนคิดว่ามันเป็นศิลปะหรือไม่? แล้วมันมีความเป็นศิลปะมากแค่ไหนกัน?
สำหรับหลายคน อาจเกิดข้อโต้แย้งระหว่างเทคโนโลยีและศิลปะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งหนึ่งมีเป้าหมายเพื่อการก้าวหน้า ทว่าอีกสิ่งคือตัวแทนของความจรรโลงใจของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญในปัจจุบันถึงการร่วมกันของทั้งสององค์ความรู้ ตัวอย่างประเด็น เช่น เราสมควรใช้ AI ในงานศิลปะหรือเปล่า และศิลปะควรออกมาจากฝีมือมนุษย์ 100% มั้ย
แม้ข้อโต้แย้งเหล่านั้นจะชวนให้เราต้องตั้งโต๊ะโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน แถมมันยังชวนให้ถามต่ออีกว่า การสร้างงานด้วยเทคโนโลยีอย่างโดรน ไม่ใช่จากฝีมือมนุษย์ทั้งหมด อย่างงานของรูเบนนี้ มันจะยังคงเป็นศิลปะอยู่ไหม
หากมองให้ลึกลงไปมากขึ้นผ่านงานของรูเบน วู ตัวเขาไมได้ใช้เทคโนโลยีในการสร้างงานศิลปะ หากแต่ใช้มันในการเป็นเครื่องมือ สำหรับช่วยสร้างงานศิลปะ ซึ่งมันถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขยายความงดงามจากธรรมชาติ ตลอดจนสร้างมิติใหม่ให้ผู้ชมได้สัมผัส รับรู้ และตีความธรรมชาติในมุมที่ตาเปล่าอาจไม่เคยเห็น
อีกทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานศิลปะของรูเบน ยังมีส่วนสำคัญในการอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยเช่นกัน โดยมันช่วยดึงความสนใจของผู้คนให้กลับมามองเห็นคุณค่าและความเปราะบางของสิ่งแวดล้อม ผ่านภาพถ่ายที่ทั้งสวยงามและแฝงไปด้วยนัยสำคัญ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปกป้องโลกใบนี้
หนึ่งในนั้นคือซีรีส์ Aeroglyphs ซึ่งเป็นชุดรวมภาพถ่ายจากเดินทางไปสถานที่และภูมิประเทศอันแสนห่างไกลของโลก ตัวเขามีเป้าหมายคือการแบ่งปันความงดงามและความพิเศษของธรรมชาติให้ผู้คนได้เห็น ตลอดจนรู้สึกใกล้ชิดกับมันมากยิ่งขึ้น
“ถ้าผมสามารถเปลี่ยนมุมมองของคนต่อโลกใบนี้ จนพวกเขาช่วยกันรักษาสถานที่เหล่านี้ไว้ได้ ผมก็มีความสุขแล้ว”
ผลงานของรูเบน วู จึงตอกย้ำให้เราเห็นว่า หากเราหยิบเอาเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม โดยใช้มันเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยเหลือ ไม่ใช่แทนที่ เทคโนโลยีเหล่านั้นก็สามารถเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ ที่สามารถช่วยเสริมสร้างและขยายขอบเขตของงานศิลปะให้กว้างมากขึ้นได้ อีกทั้งมันยังสามารถสร้างคุณูปการต่อด้านอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อเทคโนโลยียังคงพัฒนาไปข้างหน้าเรื่อยๆ และวงการศิลปะก็คงแผ่ขยายความสร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง เราอาจต้องรอชมกันต่อไปว่า ในอนาคต เราจะได้เห็นความสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ จากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและศิลปะอีก แล้วมันจะมีบทบาทต่อโลกของเราในแง่ใดบ้าง
อ้างอิงจาก