PLANB เติบโตท่ามกลางมรสุม
เส้นทางนักลงทุน
ท่ามกลางความตึงเครียดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงแล้ว แต่โดยภาพรวมบรรยากาศยังไม่ผ่อนคลายและยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดนั้น บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ซึ่งได้ใจคนไทยไปเต็ม ๆ
นั่นคือ การอวดโฉมธงชาติไทยบนจอโฆษณาดิจิทัลขนาดยักษ์ที่ "ไทม์สแควร์" สี่แยกที่ได้ชื่อว่าไม่เคยหลับใหล และเป็นเหมือนศูนย์กลางของโลก รวมทั้งยังนำธงชาติไทยขึ้นสู่จอโฆษณาดิจิทัลทำให้ผู้ที่ขับรถใช้ทางด่วนในกรุงเทพฯ สามารถพบเห็นภาพธงชาติไทยประดับเรียงรายตลอดเส้นทาง ซึ่งงานนี้นอกจากจะสะท้อนถึงความรักชาติแล้ว PLANB ยังสามารถสร้างความรู้จักให้กับผู้คนวงกว้างได้ภายในชั่วข้ามคืน
PLANB เป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งให้บริการและรับจ้างผลิตสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน สื่อโฆษณาภาพนิ่งกลางแจ้ง สื่อโฆษณาดิจิทัลกลางแจ้ง สื่อโฆษณาภายในสนามบิน สื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า สื่อโฆษณาออนไลน์ ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อันดับ 1 คือ “ปรินทร์ โลจนะโกสินทร์” ขณะที่อันดับ 2 คือ บริษัท วี จี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ของกลุ่มเจ้าสัว “คีรี กาญจนพาสน์” แห่ง บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์
หากมองความเคลื่อนไหวทางด้านราคาหุ้นของ PLANB แล้ว อาจจะไม่เร้าใจ เพราะตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (1 มกราคม-30 กรกฎาคม 2568) ปรับตัวลงไป 21.13% สวนทางกับหมวดอุตสาหกรรมที่บวกไปถึง 19.59% โดยราคาหุ้น PLANB ร่วงลงจากปลายปี 2567 ที่ 7.10 บาท มาอยู่ที่ 5.60 บาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) หดหายจาก 30,455.91 ล้านบาท เหลือ 24,161.57 ล้านบาท
PLANB เป็นหุ้นที่โบรกเกอร์ถึง 12 ราย แนะนำให้ “ซื้อ” อีก 1 ราย แนะนำให้ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ระหว่าง 5.80-9.35 บาท โดยไม่มีโบรกเกอร์รายใดแนะนำให้ “ขาย” เลย
ยกตัวอย่าง เช่น บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ซึ่งคาดว่างวดไตรมาส 2 นี้ PLANB จะมีกําไรสุทธิ 269ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ท่ามกลางปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่ทําให้เจ้าของแบรนด์สินค้าระมัดระวังการใช้งบโฆษณา
ทั้งนี้ประเมินว่าไตรมาสนี้บริษัทจะมีกําลังการผลิตสื่อ 2,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และมีอัตราการใช้สื่อ 72.5% ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่ 76.1% ขณะที่ธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมทํารายได้ลดลง 36% จากไตรมาสก่อน และ 10% จากงวดปีก่อน เพราะไม่มีการจัดอีเวนต์ (Events) ใหญ่เหมือนงวดไตรมาส 2 ปี 2567 ที่มีรายได้บริหารสิทธิ์โอลิมปิก
แต่การควบรวมอุตสาหกรรมสื่อนอกบ้านไว้ในมือเกือบทั้งหมดบวกกับการสร้างสรรค์สื่อใหม่ ๆ และออกแบบแพ็กเกจ (Package) ที่ตรงใจลูกค้า ช่วยให้ PLANB ยังมีรายได้และกําไรเติบโต
ทั้งนี้หากมองกําไรตลอดครึ่งหลังของปีนี้ เชื่อจะทําได้ดีกว่าครึ่งปีแรกตามปัจจัยฤดูกาล และจะมีรายได้ส่วนเพิ่มจากค่า Management Fee ที่รับจาก VGI และการบริหารสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก รวมถึงธุรกิจมวยเวทีราชดําเนินที่จะเข้าสู่ช่วงพีกของการแข่งขัน ดังนั้นประมาณการกําไรปี 2568 ไว้ที่ 1,137 ล้านบาท เติบโต 8% จากงวดเดียวกันปีก่อน
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 PLANB เริ่มเข้าไปบริหารการขายสื่อนอกบ้านให้กับ VGI โดยรับรู้เป็นค่า Management Fee อัตรา 5% เริ่มรับรู้รายได้ในงวดไตรมาส 2 นี้ ประมาณ 10 ล้านบาท และรับไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท/เดือนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ PLANB จะเริ่มรับรู้รายได้จากค่า Management Fee ในการบริหารสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยค่า Management Fee ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกต่อฤดูกาลแข่งขัน (สิงหาคม 2568-มิถุนายน 2569) น่าจะประมาณ 50 ล้านบาท
ส่วนเดือนกันยายน 2568 PLANB จะมีการออก Package โฆษณาใหม่ ด้วยการนําสื่อนอกบ้านของ PLANB ผูกรวมกับสื่อในสถานีรถไฟฟ้าของ VGI ในรูปแบบ “Street to Sky Train” เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ชมที่จะเห็นสื่อต่อเนื่องตั้งแต่ริมถนนจนถึงสถานีรถไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม PLANB ถูกปรับลดเป้าหมายการเติบโตระยะยาว (terminal growth) ในการประเมินราคาเหมาะสม (DCF) ลงจาก 3% เหลือ 1% จึงส่งผลให้ราคาเหมาะสมลดลงจาก 10.60 บาท เหลือ 8 บาท ให้น้ำหนักลงทุน Outperform
ชั่วโมงนี้ต้องถือว่า PLANBทำดี ทำชอบ ได้ใจคนไทย แต่หากมองในด้านของผลการดำเนินงานแล้ว ถือว่ายังต้องฝ่าฟันมรสุมทางเศรษฐกิจซึ่งหนักหนาสาหัสมิใช่น้อย