‘Tariffs’ คำที่ไพเราะที่สุดในพจนานุกรมของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’
การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่สองเมื่อเดือนม.ค.2568 กลายเป็นจุดเริ่มต้นความปั่นป่วนของกติกาโลกครั้งใหม่ ด้วยความพยายามของเขาในการเดินหน้านโยบาย “Make America Great Again”
โดยเฉพาะการประกาศนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ตั้งเป้าเก็บภาษีนำเข้าอัตราสูง กล่าวอ้างประเทศส่วนใหญ่มีกติกาการค้าที่ไม่เป็นธรรมจึงทำให้เกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง
“กรุงเทพธุรกิจ” เรียบเรียงมุมมองที่น่าสนใจจาก ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย ภายในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2568
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ทรัมป์ถึงกับยกให้คำว่า‘Tariffs’ เป็นคำที่ไพเราะที่สุดในพจนานุกรมของเขา ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงวาทศิลป์ทางการเมือง แต่สะท้อนถึงกลยุทธ์เชิงลึกที่อเมริกากำลังใช้เพื่อรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจมหภาคและความท้าทายจากคู่แข่งสำคัญอย่าง‘จีน’
ปัญหาเศรษฐกิจมหภาคแรงจูงใจในการใช้ Tariffs
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมหภาคที่รุนแรง การขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงถึงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และการขาดดุลงบประมาณพุ่งเกือบ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี สิ่งเหล่านี้ทำให้สหรัฐมีหนี้สาธารณะสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่ยั่งยืน และตกอยู่ในภาวะเป็นหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการส่งออกน้อยกว่านำเข้ามาก การใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ ซึ่งปัญหาหนี้ที่หัวโตเช่นนี้ ทำให้สหรัฐหนักใจและกังวลถึงวันที่ต้องชำระคืน
จีนผงาดผู้นำในไม่กี่ทศวรรษ
นอกเหนือจากปัญหาภายในแล้ว อเมริกายังเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งรายสำคัญที่นั่นคือประเทศจีน ซึ่งเพียงช่วงเวลา 20 ปี จีนได้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายๆ ด้านอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันจีนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐถึง 2 เท่า ในด้านอีคอมเมิร์ซ จีนใหญ่กว่าถึง 3 เท่า และเป็นอันดับ 1 ในด้านการทำวิจัยและเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป)
นอกจากนี้ จากการประเมิน 44 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก สหรัฐเหลือเป็นเบอร์ 1 เพียง 7 อุตสาหกรรม ขณะที่จีนเป็นผู้นำถึง 37 อุตสาหกรรม
ไม่เพียงเท่านั้นการพัฒนาหัวเมืองสำคัญของจีน เช่น เทียนจิน ฉงชิ่ง เฉิงตู กวางโจว และปักกิ่ง ก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงจำนวนหลายสายที่จีนสร้างได้ในระยะเวลาเพียง 12 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐที่แทบไม่มีความคืบหน้า
“สิ่งเหล่านี้ทำให้อเมริกาหนักใจและเชื่อว่าหากปล่อยไปเช่นนี้ จีนจะแซงหน้าในทุกด้านภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงมุ่งมั่นที่จะจัดระเบียบการค้าโลกใหม่เพื่อตอบโต้และฟื้นฟูสถานะของตน"
ระเบียบใหม่ของการเข้าสู่ตลาดอเมริกา
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว สหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์ได้เริ่มจัดระเบียบการค้าของสหรัฐใหม่ กำหนดแนวทางที่ประเทศอื่นๆ จะต้องทำเพื่อเข้ามาขายของในตลาดอเมริกา โดยใช้นโยบายภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือหลัก
แต่เดิมเม็กซิโกและแคนาดาสามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐได้ง่ายที่สุดด้วยภาษี 0% ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) แต่ในระบบใหม่นี้ พวกเขากลับกลายเป็นผู้ที่เข้าตลาดสหรัฐได้ยากที่สุด โดยถูกกำหนดภาษีนำเข้าสูงถึง 25% สำหรับเม็กซิโก และ 35% สำหรับแคนาดา
ทั้งนี้ ระบบภาษีใหม่นี้ถูกจัดแบ่งเป็นระดับ (tier) โดยมีอัตราภาษีตั้งแต่ 10%, 15%, 20%, 25%, 30%, 35%, 40% และ 50% โดยแต่ละประเทศบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐด้วยข้อเสนอที่แตกต่างกัน กรณีสหราชอาณาจักรได้ข้อตกลงกลุ่มแรก ”First Deal“ ได้รับภาษี 10%
ส่วนที่ถูกมองว่า "ให้ข้อเสนอดีที่สุด" แก่อเมริกา หรือที่เรียกว่า "Massive Deal to America" ได้รับภาษี 15% ขณะที่ประเทศเหล่านี้ให้สิทธิพิเศษกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 0% ในเกือบทุกตลาด และสัญญาจะไปลงทุนในอเมริกาเกือบ 500,000 ล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงสัญญาจะซื้อพลังงานและยุทโธปกรณ์จากสหรัฐ โดยกลุ่มนี้รวมถึงสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ในขณะที่ประเทศที่บรรลุข้อตกลงในระดับ "Great Deal" ได้รับภาษี 19-20% เช่น เวียดนาม เปิดตลาดสำหรับทุกอย่าง และอินโดนีเซีย แลกกับการสัญญาซื้อพลังงาน เครื่องบินรบ F-50 จำนวน 12 ลำ และสินค้าเกษตร
สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอย่างกัมพูชาและมาเลเซีย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ได้รับภาษี 19% ซึ่งถือเป็นอัตราที่ดีมาก และไม่ด้อยกว่าเวียดนามหรืออินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับอินเดียที่ได้ 25% และบราซิลที่โดนลงโทษทางการเมืองจนได้รับภาษีสูงถึง 50%
"การที่ไทยได้ 19% ถือเป็นความสำเร็จจากการเจรจาอย่างต่อเนื่องที่ทำให้สหรัฐปัดไทยขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ ซึ่งอัตราภาษีในระดับนี้ยังส่งผลดีต่อไทยในการดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะบริษัทที่กำลังย้ายฐานการผลิตออกจากจีน"
เพิ่มจัดเก็บรายได้จากภาษีนำเข้า
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายภาษีทรัมป์สร้างรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) มหาศาล ปัจจุบัน สหรัฐสามารถเก็บภาษีอากรขาเข้าได้ประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งเป็นเพียงรายได้จากอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐานทั่วไป (Universal Baseline Tariff) 10%
โดยมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตรายได้จากการเก็บภาษีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ 400,000 - 500,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่ออัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 15%, 20%, 30% หรือสูงกว่านั้นซึ่งรายได้จากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนี้ จะช่วยปิดช่องว่างของการขาดดุลการค้าและลดการขาดดุลให้กับสหรัฐได้อีกส่วนหนึ่ง
เตรียมรับมือภาษียกถัดไป
แม้ไทยจะมีการบรรลุข้อตกลงอัตราภาษี (Reciporacal Tariffs) แล้ว ดร.กอบศักดิ์ ย้ำเตือนว่าสถานการณ์นี้ยังไม่จบ และไม่ควรมองว่า 19% เป็นจุดสิ้นสุด การเจรจานี้เหมือนการชกมวยที่เพิ่งจบยกแรก และยังมีการเจรจาในเรื่องอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำหนดอัตราภาษีสินค้าส่งผ่าน Transshipment ที่ 40% ซึ่งยังต้องกำหนดเงื่อนไขเรื่อง Rules of Origin และ RVC หรือมูลค่าการผลิตในประเทศหรือภูมิภาค
ส่วนภาษีในระดับประเทศ อาจมีการใช้มาตรการภาษีเพื่อลงโทษเฉพาะด้าน เช่น กลุ่มประเทศ BRICS ประเทศที่มีการชำระเงินทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ ยาเสพติด หรือกรณีความไม่เป็นธรรมทางการค้า รวมถึงมาตรการภาษีในระดับอุตสาหกรรมสำหรับสินค้าต่างๆ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ยางรถยนต์ ไม้ และแม้แต่มะเขือเทศสดที่ยังโดนเก็บภาษี
นอกจากมิติทางเศรษฐกิจแล้ว ความขัดแย้งของสหรัฐกับจีนยังอาจขยายตัวจากสงครามการค้าไปสู่สงครามเทคโนโลยี สงครามภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการเงิน และอาจนำไปสู่สงครามจริงได้หากจำเป็น
สำหรับประเทศไทยและประเทศอื่นๆ แล้ว การประกาศภาษีสหรัฐเพื่อการจัดระเบียบการค้าใหม่ครั้งนี้ คือสัญญาณเตือนให้ต้องตื่นตัว ปรับตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังถาโถมเข้ามา