โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ฐานการผลิตโลก เศรษฐกิจไทยฝ่าความผันผวน สัญญาณเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจโลก

Manager Online

เผยแพร่ 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

“ถึงเวลาที่ไทยต้องเลือกทางรอด!” ท่ามกลางความผันผวนและท้าทายที่ทวีความรุนแรง

มาตรการภาษีทรัมป์กำลังสะเทือนการค้าโลก ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์เดือด เศรษฐกิจชะลอตัว นักท่องเที่ยวลดน้อยลง และความมั่นคงด้านพลังงาน กับแนวทางพลังงานสะอาดที่กดดันทุกประเทศ

ประเทศไทยจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกขบวน? “สัญญาณเปลี่ยนเกมเศรษฐกิจโลก” และแนวทางที่ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่ไม่มีใครรอใครอีกต่อไป!

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกถึงเรื่องนี้ภายในงานสัมมนา iBusiness Forum Decode 2025 : The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทยว่า สิ่งแรกที่ไทยควรทำเลยคือการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อยกระดับการผลิต โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI นี่คือคำตอบแรกของการแก้ปัญหา

เราเคยเจอกับดักรายได้ในประเทศไทย การที่ไม่มีสินค้านวัตกรรม ทำสินค้าแบบรับจ้างผลิต ไม่มีอำนาจต่อรองในเวทีโลก ชี้ชัดว่าเรามีโอกาสเจอปัญหาแบบนี้กระทบเรื่อย ๆ ถ้าประเทศไทยไม่ขยับเขยื้อนให้ความมีตัวตนมันหนีออกมา เราจะลำบาก เพราะประเทศไทยพึ่งพิงต่างประเทศ 80% เรามีการส่งออกเป็นมูลค่า 60% ของจีดีพี ท่องเที่ยวประมาณ 20% นั่นเท่ากับว่า 70-80% เราต้องพึ่งต่างชาติ ขณะที่เราไม่มีนวัตกรรมอะไรเป็นของตัวเอง นอกจากการท่องเที่ยวแล้วเราไม่มีอะไรเลย นี่แหละคือเรื่องที่น่ากลัว

"ภาคการผลิตไทยควรยกระดับในการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิตมากขึ้น ส่วนการแก้ปัญหามาตรการภาษี ควรเจรจา และแยกให้ได้ว่าอะไรที่เป็นสินค้าไทยอย่างแท้จริง อยากให้เหลือต่ำ ๆ ไปเลย 20 - 25% ส่วนสินค้าที่เข้ามาประกอบในไทยแต่ใช้วัสดุจากจีน ควรขึ้นไป 40% ก็ได้ อยากได้ภาษี 2 รูปแบบนี้ และได้ส่งข้อมูลให้ทีมเจรจาไปแล้ว"

หวั่นเศรษฐกิจครี่งปีหลังพลิกติดลบ

นายวิวรรธน์ กล่าวว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แม้จะมีแนวโน้มที่ดีจากการส่งออกที่ขยายตัว 14.9% มูลค่าการลงทุนใหม่ที่พุ่งขึ้นเกือบ 97% แต่ยังกดดันด้วยภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงกว่า 4% ขณะที่ในส่วนของภาคการส่งออกที่ขยายตัวสูง เกิดจากการเร่งการส่งออกเพื่อเลี่ยงการเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ทำให้ครึ่งปีหลังอาจจะพลิกกลับมาติดลบได้

มาตรการภาษีการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ถูกยกมาเป็นความกังวลลำดับต้น ๆ เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีต่ำกว่า 36% ล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของไทย ซึ่งเราคาดหวังว่าการเจรจาจะได้ผลลัพธ์ที่เป็นบวกมากกว่านี้ แต่ขนาดเศรษฐกิจของไทยไม่ได้ใหญ่มากพอที่เมื่อลดภาษีให้สหรัฐฯ จำนวนมากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อ GDP ของสหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นเชื่อว่าผลกระทบทางการเมืองและประเด็นความมั่นคงเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ น่าจะให้ความสำคัญอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันประเทศไทยก็อยู่ในจุดที่ล่อแหลม การอนุญาตให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพจึงอาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการเจรจา

พลังงานพื้นฐานเศรษฐกิจ “พลังงานสะอาด” สู่ความยั่งยืน

ความท้าทายของเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่าง ๆ ถือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่ในระยะยาวสิ่งที่มีความสำคัญต่อทุกประเทศคือความมั่นคงด้านพลังงาน และจะทำอย่างไรให้ทั้งความมั่นคงและเทรนด์พลังงานสะอาดไปด้วยกันได้นั้น ดร. คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยในงานเดียวกันว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนั้นทิศทางพลังงานจะต้องสมดุลกัน (balance) ใน 3 เรื่อง คือ ความมั่นคงพลังงาน ความยั่งยืน และพลังงานมีใช้ในราคาที่เหมาะสม

“ทิศทางวันนี้ มีความไม่แน่นอนสูง แต่ทุกคนเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะต้องมุ่งสู่ Net Zero แม้ว่าจะขรุขระบ้าง แต่ช้าเร็วก็ต้องทำ ในช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการพูดถึงความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ทุกวันนี้ความไม่แน่นอนมีสูงมากทั้งปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ปตท. ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานและความยั่งยืน ควบคู่กับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

ก๊าซฯ ยังโตต่อเนื่องแนะเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน

สำหรับการใช้พลังงานของโลกในปี 2566 จนถึงปี 2593 มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึง 20% เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องเสถียรภาพและราคา ดังนั้น “ก๊าซธรรมชาติ” ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาด จึงมีความสำคัญอยู่โดยมีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2566 เป็น 26% ในปี 2593 ส่วนน้ำมันมีการใช้ลดลงจาก 31% เหลือ 28% แต่ถ่านหินการใช้ลดลงจาก 25% เหลือเพียง 13%

โดยไทยและในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นพ้องตรงกันว่าใน 20 - 30 ปีข้างหน้า ก๊าซฯ จะยังเป็นเชื้อเพลิงหลักของโลก ซึ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถการผลิตก๊าซฯ ได้เองไม่ว่าจะเป็นไทย, เมียนมา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ซึ่งตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงานเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ การพัฒนาพลังงานของไทย ควรมุ่งไปที่การส่งเสริมและเร่งการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งใหม่ การปลดล็อคข้อจำกัดด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการสนับสนุน ส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

กรุงไทยแนะแก้เศรษฐกิจนอกระบบ - ปรับเพดานหนี้เพิ่มการลงทุน

ข้างต้นเป็นเรื่องของการผลิต พลังงาน ซึ่งนอกเหนือจาก 2 เรื่องนี้แล้วโครงสร้างเศรษฐกิจ และหนี้สิน ถือเป็นอีกปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขของไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถ้าเรา Zoom in ปัญหาในประเทศ คือการมีเศรษฐกิจนอกระบบสูงถึง 48% และได้นำไปสู่ผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกมากมาย

"48% นี่ถือว่าสูงที่สุดในโลกระดับ TOP เลย นำไปสู่แรงงานนอกระบบถึง 51% นำไปสู่ผู้เสียภาษีในระบบเพียง 11 - 12 ล้านคน ขณะที่มีการเรียกร้องสวัสดิการทางสังคมอีกถึงกว่า 68 ล้านคน บวกกับเอกชนที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลรายเล็กเพียง 26% โดยจากการวิจัยเศรษฐศาสตร์จุฬา 34% ครัวเรือนไทยเป็นหนี้นอกระบบ หนึ่งครัวเรือนมีหนี้นอกระบบ 9.19 หมื่นบาท เป็นหนี้นอกระบบ 13.4% และเป็นหนี้ในระบบ 86.6% รวมแล้วเท่ากับ 104% แต่ถ้าดู Gross debt ตัว Total จะเป็นประมาณ 117% เกิดขึ้นจากอะไร ก็คือคนที่เป็นลูกหนี้นอกระบบ เป็นเจ้าหนี้นอกระบบไปพร้อม ๆ กัน หรือเป็นลูกหนี้ในระบบไปพร้อม ๆ กัน ภาพนี้บอกอะไร บอกว่ากล้ามเนื้อของประเทศไทยต้องอาศัยกลไกนอกระบบ กลไกในระบบไปไม่ถึง เป็นภาพที่สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย"

ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาจากที่ธนาคารโลกทำไว้ก็คือ 1. รายได้ต่ำ 2. ความยากจนและความเหลื่อมล้ำสูง ทำให้รับแรงกระแทกจากปัจจัยต่าง ๆ ได้ต่ำ 3. การกำกับดูแลและธรรมาภิบาลด้อยกว่า 4. ผลิตภาพอยู่ในระดับต่ำ 5. Resilience ต่ำ และ 6. มีการพัฒนาด้านความยั่งยืนที่ช้า ดังจะเห็นได้เวลาที่เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ก็ต้องมีการชดเชยเยียวยา

"ประเทศเรายังต้องมีการลงทุนอีกมาก เพดานหนี้สาธารณะที่ 70% คงต้องปรับ แต่จะใช้ทรัพยากรเหล่านั้นไปทำอะไร เป็นสิ่งที่เราต้องมาช่วยกันทบทวน อย่างที่ว่าในวิกฤติมีโอกาส ตอนนี้ในช่วงที่ประเทศไทยเจอหลายปัญหาถาโถมแต่ก็เป็นโอกาสที่จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ใช้โอกาสนี้เลย"

ทั้งนี้ เร่งผลักดันเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้าสู่ระบบนั้น มองว่าในโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ – ตลาดทุน ต้องมีสิ่งจูงใจ แล้วก็ทำให้กลไกภาครัฐเอื้อให้เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็วและเป็น One Stop Service และต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างทางภาษีเพื่อเป็นกลไกในการแปรผันทรัพยากรให้ไปสู่จุดที่ควรจะเป็นการเร่งสร้างกล้ามเนื้อ และวิธีการสนับสนุน ห่วงโซ่ อุปาทาน เพื่อให้ได้ประโยชน์แก่ทรัพยากรและบุคลากรในประเทศอย่างเต็มประสิทธิภาพ

ไทยฐานการผลิตโลกท่ามกลางภาษีทรัมป์

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศมีการสรุปเรื่องกำแพงภาษีจริง ๆ มีแค่ 2 ประเทศคืออังกฤษ กับเวียดนาม โดยเวียดนามที่มีการประกาศอัตราภาษีในระดับ 20% นั้น ถือเป็นเรื่องน่าผิดหวัง เนื่องจากในการเจรจาเป็นการเทหมดหน้าตักแล้ว แต่กลับไม่ได้ตามที่คาดไว้คือประมาณ 10 - 12%

นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของสินค้าที่สวมสิทธิ์ที่จะต้องโดนกำแพงภาษีสูงถึง 40% อีกด้วย ซึ่งคำจำกัดความของสินค้าสวมสิทธิ์ตอนนี้ยังไม่จบ และไม่สามารถสรุปได้ว่าจะตีความอย่างไร โดยการส่งออกของเวียดนามโตขึ้นจากช่วงเทรดวอร์รอบแรกและสินค้าส่วนใหญ่ยังไม่ใช่การผลิตเพื่อส่งออก แต่เป็นการนำวัตถุดิบจากจีนมาประกอบทำให้ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะโดนกำแพงภาษีที่ระดับไหนระหว่าง 20% หรือ 40% แน่

“ในตอนต้น ตอนที่ไทยเจอภาษี 36% มีคนถามเยอะมากแต่มันยังไม่จบต้องดูให้มันหมดก่อนว่าใครเจออะไรบ้าง เช่น บราซิล 50% ทั้งที่บราซิลขาดดุลสหรัฐ ส่วนเม็กซิโกกว่า 30% อันนี้ยังรอจีนกับอินเดียที่ยังไม่มีข้อสรุป ถามว่าทำไมยกตัวอย่างประเทศเหล่านี้ เพราะตอนนโยบายภาษีรอบแรกเดือนเมษายน ผลสำรวจจากลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของเรา โดยเฉพาะลูกค้าจีนที่มีการส่งสินค้าไปสหรัฐฯ กว่า 75% ถ้าจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตจริง ๆ จะเลือกประเทศไหน คำตอบที่ได้คือ บราซิล กับเม็กซิโก ซึ่งไม่ได้ต่างกันมากนัก ฉะนั้นไทยยังถือเป็นทางเลือกของนักลงทุนจีนอยู่”

หอการค้าหวั่นเศรษฐกิจครึ่งปีหลังทรุด

ดร. วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย บอกถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ว่า GDP ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.5% จากปีก่อนหน้าที่อยู่ประมาณ 3.1% และคาดว่า ปีนี้จะชะลอตัวลงจากหลายสาเหตุ เช่น ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - อิหร่าน รวมถึงความตึงเครียดบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งอาจกระทบต่อต้นทุนพลังงานในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 1.5 – 2.0% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 2.0 – 2.2% ขณะที่ภาคการส่งออกก็มีแนวโน้มหดตัว โดยคาดว่าจะอยู่ในกรอบ -0.5% ถึง 0.3% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 0.3 – 0.9% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

“ต้องยอมรับว่า Trade War ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนแรงมากตั้งแต่รอบแรก มารอบนี้แรงกว่าเดิม ไม่จำกัดอยู่แค่จีนแล้วแต่รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่เป็นทางผ่านการค้าของจีนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องไปดูในเชิงลึกเพื่อเตรียมการไว้ โดยภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาตัวเลขการค้าดีมากถึง 14.9% การเติบโตนี้ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ แต่ว่าสิ่งที่เราประเมินไว้ครึ่งปีหลังโดยเฉพาะไตรมาส 3 ซึ่งเป็นไตรมาสที่มีโอกาสที่ยอดจะลดลงไปเยอะ”

ท่องเที่ยวต้องปรับตัวลดพึ่งตลาดคนจีน

ด้าน นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การท่องเที่ยวของไทย “ยังมีอุปสรรคอยู่” เนื่องจากในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลกยังผันผวน รวมถึงอุปสรรคอื่น ๆ อาทิ เที่ยวบินยังฟื้นไม่เต็มที่ ตั๋วเครื่องบินแพง หรือแม้กระทั่งคู่แข่งอย่างญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนามก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมากขึ้น หรือจีนที่ไม่มาไทยเพราะรัฐบาลจีนมีการส่งเสริมเรื่อง Domestic ที่เข้มข้นมากขึ้น ทั้งในแง่การอำนวยความสะดวก การทำโปรโมชัน หรือการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งการท่องเที่ยวไทยจึงต้องใช้กำลังมากขึ้นในการรักษาการเป็นผู้นำการท่องเที่ยวไว้ให้ได้

การท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่ปี 2562 มีนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนต่อปี เป็นนักท่องเที่ยวจีนถึง 10 ล้านคน ถือเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด พอเกิดโควิด -19 ในช่วงปี 2563 กลางปี เป็นต้นไป ไทยมีนักท่องเที่ยว 6 ล้านคน ปี 2564 มีนักท่องเที่ยว 6 แสนคน และปี 2565 ที่กลับมาเปิดประเทศ มีนักท่องเที่ยวกลับมา 11 ล้านคน ปี 2566 มีนักนักท่องเที่ยวกว่า 20 ล้านคน และ ปี 2567 มีนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน โดย ททท. คาดว่า ปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยว 35 ล้านคนหรือใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

ภาพรวมสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย เราอยากจะบาลานซ์ให้มากที่สุด เพราะเราไม่อยากพึ่งพาแค่นักท่องเที่ยวต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ปีนี้จึงตั้งเป้าว่านักท่องเที่ยวที่พักค้างและผู้เยี่ยมเยือนจะอยู่ที่ 200 ล้านคน/ครั้ง และเราอยากเพิ่มวันพักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวไทยให้มากขึ้น โดยช่วงหลังเรามีการส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว หรือเมืองรองมากขึ้น เพราะว่าต้องการกระจายรายได้และกระจายตัวนักท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่ไปเมืองรองมีเพิ่มมากขึ้น จากปีที่ผ่านมาคนไทยนิยมท่องเที่ยวในภาคกลางและภาคตะวันตก ส่วนภาคอื่น ๆ ลดหลั่นกันไป โดยเมืองไทยน่าเที่ยวมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีโดยเฉพาะสุพรรณบุรี สมุทรสงคราม เชียงราย ลพบุรี จันทบุรี นครศรีธรรมราช เป็นต้น

ข้างต้นเป็นข้อมูลบ้างส่วนในงานสัมมนา สุดท้ายทุกสัญญาณที่ถอดรหัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนวัตกรรม ความมั่นคงและพลังงานสะอาด รวมถึงเศรษฐกิจนอกระบบ อาจเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเปลี่ยนอนาคตเศรษฐกิจไทย การฟัง เรียนรู้ และเตรียมพร้อมก่อนใคร…อาจเป็นความต่างที่จะตัดสินระหว่างหัวแถวและหางแถวได้ ในช่วงเปลี่ยนผ่านต่อจากนี้

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Manager Online

ฉลองวันแม่ด้วยหลากหลายกิจกรรมที่ ม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์

20 นาทีที่แล้ว

โรบินสันไลฟ์สไตล์ เปิดแคมเปญ “ชวนเที่ยวด้วยกัน”

20 นาทีที่แล้ว

กมธ.เทคโนโลยี สว.ชี้ ไทยเสี่ยงเป็นฐาน Call Center เสนอ 5 แนวทาง สกัดลักลอบลากสายสื่อสารเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน

20 นาทีที่แล้ว

น้ำยมหลากล้นฝั่งสุโขทัยแล้ว! เริ่มทะลักท่วมบ้านเรือน ปชช. ล่าสุดทะลุกำแพงวัดคูหาสุวรรณ เรียบร้อย

36 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

สุโขทัย ‘แม่น้ำยม’ ล้นคันกัน ทะลักท่วมพื้นที่เศรษฐกิจอำเภอเมืองเช้านี้

ประชาชาติธุรกิจ

"บิ๊กต๋อง" ควง "บิ๊กแบน" ถกประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทางไกลผ่านจอภาพ

สยามรัฐ

รัฐระดมมาตรการลดผลกระทบการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา

The Better

ราคาทองวันนี้ล่าสุด 26 กรกฎาคม 2568 ราคาปรับลดลง 100 ราคาทองรูปพรรณ บาทละ 52,050 บาท

Thairath Money

“ไมเดีย” มั่นใจศักยภาพไทย เดินหน้าลงทุน ลุ้นรัฐเจรจาภาษีสหรัฐฯ

ฐานเศรษฐกิจ

“No Spend Challnge” ภารกิจพิชิตเป้าหมายการเงิน l What's up Wealth

TNN ช่อง16

ราคาทองวันนี้ (26 ก.ค.) เปิดตลาด ปรับลง 100 บาท/บาททองคำ ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 52,050.00

การเงินธนาคาร

ราคาทองวันนี้ 26 ก.ค. 68 ครั้งที่ 1 ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 52,050 บาท

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

“กกพ.” สั่งหน่วยงานในกำกับฯ ดูแลไฟฟ้าในพื้นที่พิพาทเต็มกำลัง

Manager Online

ติดปัญหาเวนคืน! รถไฟทางคู่ "บ้านไผ่-นครพนม" ล่าช้ากว่า 40% “วีริศ” สั่งทำแผนแก้ปัญหาใน 15 วัน

Manager Online

“คมนาคม” ผนึก "สายการบินสัญชาติไทย" เพิ่มที่นั่งพร้อมรับคนไทยจาก "กัมพูชา" กลับประเทศ

Manager Online
ดูเพิ่ม
Loading...