‘มาริษ’ เผย UNSC ขอไทย-กัมพูชา ยับยั้งชั่งใจ ยันแจงแล้วถูกเปิดฉากยิงก่อน
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ว่า ในห้วงการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 หรือ HLPF ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ได้มีโอกาสพบหารือกับผู้แทนระดับสูงจาก UN และประเทศต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยได้พูดถึงพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตลอดเวลาที่ปฏิบัติภารกิจที่สหประชาชาติ ได้ติดตามสถานการณ์ และเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ที่เริ่มเปิดฉากโจมตีก่อน ซึ่งได้โจมตีสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ แสดงให้เห็น ว่า ตั้งใจจะโจมตีพื้นที่พลเรือน ส่งผลให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตคือ เด็กอายุเพียง 8 ขวบ พร้อมเชื่อว่า ไม่มีประเทศไหนยอมรับการกระทำเหล่านี้ได้ และกัมพูชาเองย้ำมาตลอด ว่า เป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบของประชาคมระหว่างประเทศ แต่กลับกระทำการที่ละเมิดหลักการพื้นฐานอย่างร้ายแรง การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ละเมิดอธิปไตยของไทย แต่ยังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตร UN กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และยังเป็นการละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ที่ควรได้รับการประณามอย่างเต็มที่จากประชาคมระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ไปแล้ว ทั้ง การประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการรุกรานของกัมพูชา ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และเรียกเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับไทย และขอให้ เอกอัครราชทูตกัมพูชากลับประเทศเช่นกัน เรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยุติการโจมตีเป้าหมายทางทหาร พลเรือน รวมถึงยุติการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยทันที
นายมาริษ ยังกล่าวแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต ซึ่งเมื่อคำนึงถึงกรณีการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชาในดินแดนของอธิปไตยของไทย ที่มีหลักฐานชัดเจน โดยหน่วยงานความมั่นคงได้มีการพิสูจน์ทราบอย่างชัดเจนแล้ว และทำให้ทหารไทย 2 นาย บาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาถาวร ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกแล้วในปัจจุบัน พร้อมทั้ง ชื่นชมในความกล้าหาญของทหารทุกคนที่เสียสละเพื่อชาติ และรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของไทย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินการทุกอย่างด้วยความจริงใจ และความสุจริตใจ ในการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชามาตลอด แต่เมื่อฝ่ายกัมพูชาเลือกที่จะละเมิดอธิปไตยของไทย และกฎหมายระหว่างประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องเดินทางไปชี้แจงกับประชาคมระหว่างประเทศด้วยตนเอง และโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ การไป UN ครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ต่อนานาประเทศ โดยตนเองได้กล่าวถ้อยแถลงในช่วงการอภิปรายแบบเปิดในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC รวมทั้งพบหารือกับผู้แทนระดับสูงของประเทศ และองค์การ ระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น เลขาธิการ UN รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธาน UNSC) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปานามา ซึ่งจะทำหน้าที่ประธาน UNSC วาระถัดไป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประจำอนุสัญญาออตตาวา และผู้แทนประธานาธิบดีรัสเซีย ในฐานะประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของ UNSC ซึ่งในการพบหารือกับบุคคลสำคัญดังกล่าว
ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตยของไทยก่อน พร้อมย้ำท่าทีไทยที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับฝ่ายกัมพูชาอย่างสันติและด้วยความสุจริตใจ ผ่านกลไกทวิภาคีมีอยู่ และการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชา ต่อกรณีการวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยของไทย และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศต่างๆ ของกัมพูชา
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชายื่นหนังสือถึงประธาน UNSC นั้น มาริษ กล่าวว่า เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าพบ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรปากีสถาน ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธาน UNSC ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์การใช้กำลังทางทหารที่เริ่มโดยฝ่ายกัมพูชา การละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขอให้เวียนหนังสือดังกล่าวของไทยเป็นเอกสารของ UNSC เพื่อให้ประเทศสมาชิก UNSC ได้รับทราบอย่างเป็นทางการ
นายมาริษ ยังกล่าวว่า ในเวลา 15.00 น. เวลาท้องถิ่นของนครนิวยอร์ก หรือ ประมาณ 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย UNSC ได้จัดการประชุมแบบปิด เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมี 15 ประเทศสมาชิก UNSC รวมถึงไทยและกัมพูชาเข้าร่วม โดยได้รับรายงานจาก นายเชิดชาย ว่า ในที่ประชุมเมื่อวานนี้ ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชา รวมทั้งสมาชิกประเทศ UNSC ทุกประเทศได้ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุม
โดยฝ่ายไทยได้ย้ำจุดยืน ว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน ได้โจมตีสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหารอย่างต่อเนื่อง ลึกเข้ามาในเขตแดนไทยมาก ส่งผลให้มีพลเรือนไทยเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง
นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของประเทศสมาชิก UNSC ที่เข้าร่วมประชุม ไม่ได้เน้นประเด็นใดเป็นพิเศษ เพียงแต่กล่าวถึงหลักการกว้าง ๆ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เรียกร้องให้กัมพูชา และไทย ใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิง และแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งรวมถึงการใช้การทูตและการเจรจาทวิภาคีบนพื้นฐานของหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี สนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ตามหลักการของกฎบัตรอาเซียน และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยที่ประชุม UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารใด ๆ
นายมาริษ ยังกล่าวขอบคุณ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน สำหรับบทบาท และข้อเสนอหยุดยิง ซึ่งไทยเห็นด้วยอย่างยิ่งในหลักการ แต่กัมพูชาจะต้องหยุดโจมตี และแสดงความจริงใจ โดยไทยให้ความสำคัญกับประธานอาเซียน พร้อมที่จะหารือกับมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง และสร้างสรรค์เพื่อหาข้อยุติในเรื่องดังกล่าวต่อไป
นายมาริษ ยังยืนยันว่า กรณีข่าวปลอมที่กัมพูชาออกแถลงการณ์กล่าวหาว่า กองทัพไทยได้รุกราน และสร้างความเสียหายให้ตัวปราสาทพระวิหารนั้น ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการกล่าวหาซึ่งไร้หลักฐาน และไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง โดยการปะทะกันระหว่างกองกำลังไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน บริเวณห้วยตามะเรีย และภูมะเขือ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารถึง 2 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกระสุน หรือ สะเก็ดระเบิดที่มีวิถีไกลไปถึงตัวปราสาทพระวิหาร โดยทั้งหมดนี้ ฝ่ายไทยได้มีหนังสือชี้แจงไปแล้วอย่างเป็นทางการ
นายมาริษ ยังได้สั่งการให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกรมองค์การกระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือประท้วงเรื่องการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถรับได้ ไปยังคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าด้วย
นายมาริษ ยังยืนยัน เจตนารมณ์ของไทยในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในการธำรงสันติภาพ และเสถียรภาพ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการกระทำที่เป็นการละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างจริงใจ และสุจริตใจ รวมถึง ขอร่วมส่งกำลังใจให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ขอให้มั่นใจว่า ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศจะทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ศักดิ์ศรีและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ และยึดถือผลประโยชน์ ความปลอดภัยของคนไทยไว้เหนือสิ่งอื่นใดอย่างที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงนาทีนี้
เมื่อถามว่าจากการแถลงข่าว บอกว่ามีการละเมิดเด็กและสตรี เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศจะยื่นต่ออนุสัญเจนีวาด้วยหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ยื่นหนังสือประท้วงไปแล้ว ได้ให้ทางอธิบดีส่งหนังสือประท้วง และประณามการกระทำรุนแรง ทั้งในส่วนองค์กรต่างๆ ของยูเอ็น และบริบทของยูเอ็น รวมถึงอนุสัญญาต่างๆ ทางกระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกรมองค์การระหว่างประเทศทำการพิจารณาร่วมกันอยู่ ว่าเราจะไปในลักษณะใด
เมื่อถามว่า การโจมตีของกัมพูชาที่ส่วนใหญ่พุ่งเป้ามายังพลเรือน จากนี้หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก ไทยจะดำเนินการยื่นร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) กัมพูชา โทษฐานที่เป็นอาชญากรสงครามได้หรือไม่
นายมาริษ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดเยอะ ตนได้สั่งการไปแล้ว ว่าให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ได้พิจารณาเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะการที่เราจะไปถึงจุดนั้น เราจะต้องมีรายละเอียดและเตรียมการอีกเยอะ แน่นอนว่าเราจะต้องดำเนินการในช่องทางที่สามารถดำเนินการได้ เราได้มีการพูดคุยกันตลอดเวลาว่าการกระทำของกัมพูชา มีมากไปหมด ไม่ใช่โจมตีแค่พลเรือนหรือใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ โดยในส่วนศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น มีกรอบและขั้นตอน รายละเอียดอีกเยอะซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ แต่ในเรื่องของการใช้ทุ่นระเบิดเราได้ยื่นเรื่องไปยัง “ออตตาวา” แล้ว เพราะมีหลักฐานที่ชัดเจน เป็นเหตุการณ์ระดับใดที่เราสามารถดำเนินการฟ้องได้ และเราก็ไม่อยากดำเนินการไปโดยไม่รู้ว่าสามารถทำได้ เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อประเทศ
เมื่อถามว่า ที่ไปประชุมมานั้น มีประเทศที่ 3 เสนอเข้ามาเป็นตัวกลาง ในการหาข้อยุติให้เกิดสันติภาพระหว่างประเทศหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ เพราะกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ยืนยันมาตลอด ว่าเราต้องการใช้การเจรจา2 ฝ่าย โดยใช้หลักสันติวิธีและความสุจริตใจ ในส่วนของประเทศที่สาม ช่วงที่ตนอยู่ที่นิวยอร์ก ไม่ได้มีใครมาพูดคุยถึงเรื่องนี้.