พิพากษาจำคุก 3 ปี ‘บังเอิญ’ ไม่รอลงอาญา กรณีโพสต์ภาพหันรองเท้าไปทางรูปกษัตริย์-ราชินี
1 กรกฎาคม 2568 เวลา 09:00 น. ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญานัด ‘บังเอิญ’ ศิลปินอิสระ ฟังคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 มูลเหตุของคดีนี้สืบเนื่องมาจากเขาโพสต์รูปภาพตนเองใช้มือซ้ายถือรองเท้าข้างหนึ่งไปทางพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 และพระราชินี
เวลา 09:45 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์และอ่านคำพิพากษาโดยมีใจความว่า เนื่องจากพยานโจทก์อ้างตรงกันว่า ตามวัฒนธรรมไทยแล้ว รองเท้าเป็นของต่ำ วิญญูชนไม่พึงหันรองเท้าไปทางภาพของกษัตริย์และพระราชินี ซึ่งอยู่ในสถานะที่เป็นที่เคารพสักการะ ประกอบกับวันที่โพสต์เป็นวันที่ 28 กรกฎาคม 2566ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 อีกทั้งตั้งโพสต์เป็นสาธารณะ ส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าดูได้ในวันสำคัญของประเทศ ถือเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ กระทบต่อประชาชนที่รักสถาบันฯ ซึ่งอาจจะสร้างความแตกแยกให้สังคม ทั้งยังเป็นการนำเข้าข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรโดยที่จำเลยรู้อยู่แล้ว
จำเลยสู้คดีว่า จำเลยเป็นศิลปิน ทำงานศิลปะในเชิงสื่อสารประเด็นสังคม การโพสต์ภาพรองเท้าดังกล่าว ซึ่งเป็นรองเท้าคู่โปรด มีเจตนาต้องการโฆษณารองเท้านั้น ในขณะที่กำลังเดินทางไปสวนสันติชัยปราการ ทั้งยังเข้ารับการรักษาทางจิตเวชตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 แต่จำเลยไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยหยุดเข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และกลับมารักษาอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม 2568
ส่วนในการสืบพยานจำเลยทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เบิกความว่า ภาพ ๆ หนึ่งนั้น สามารถตีความได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับโลกทัศน์ มุมมอง นิสัยของคนแต่ละกลุ่ม การมองว่าภาพที่โพสต์นั้นเป็นการดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายหรือไม่ ให้ดูความคิดเห็นของชาวไทย
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 กษัตริย์มีสถานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และความหมายของคำว่า ดูหมิ่น ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ที่หมายถึง “แสดงกิริยาท่าทาง พูด หรือเขียน เป็นเชิงดูถูกว่ามีฐานะตํ่าต้อยหรือไม่ดีจริงไม่เก่งจริงเป็นต้น” แม้คำบรรยายภาพจะไม่มีคำใดที่แสดงความดูหมิ่นอาฆาตมาดร้าย แต่ตามภาพดังกล่าว พบว่า มีสัดส่วนของภาพรองเท้าน้อยมาก ทั้งจำเลยมิได้ประกอบอาชีพขายรองเท้าเป็นหลัก
นอกจากนี้ วันที่โพสต์ภาพเป็นวันสำคัญของชาติ ทำให้อาจเข้าใจได้ว่า มีเจตนาดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อกษัตริย์ กระทบต่อประชาชนผู้รักสถาบัน จนนำไปสู่การสร้างความแตกแยก อีกทั้งการตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ ทำให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงภาพดังกล่าวได้ในวันเดียวกันนี้
ส่วนที่จำเลยระบุเรื่องการเข้ารักษาทางจิตเวช ศาลเห็นว่าขัดแย้งกับช่วงเบิกความและสืบพยานต่อศาล เนื่องจากขณะให้การจำเลยดูปกติดี มีสติสัมปชัญญะ จึงไม่สมเหตุสมผลและไม่อาจใช้ลดโทษได้
วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่อาจฟังขึ้นได้ และมีความผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาให้จำคุกสามปี โดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ ให้นับเวลาจำคุกต่อจากโทษในคดีพ่นสีสเปรย์กำแพงพระบรมมหาราชวังและโพสต์ภาพกษัตริย์และครอบครัว
เวลา 10: 00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้าควบคุมตัว ‘บังเอิญ’ และนำตัวลงไปยังห้องเวรชี้เพื่อรอการประกันตัวระหว่างยื่นอุทธรณ์คดี