อะไรทำให้ ‘แซม อัลท์แมน’ กลายเป็น AI Buddy คนใหม่ของทรัมป์แทนมัสก์
หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในต้นปี 2025แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI เดินทางไปยังสโมสรกอล์ฟของทรัมป์ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ช่วงกลางปี พร้อมรอยยิ้มและสูทเต็มยศ เพื่อร่วมรับประทานอาหาร
การพบปะครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว เพราะทรัมป์พาอัลท์แมนไปแนะนำกับกลุ่มผู้บริจาครายใหญ่ของพรรครีพับลิกัน พร้อมกล่าวยกย่องว่า “ชายผู้ชาญฉลาด” และเสริมว่า “ผมหวังว่าเขาจะคิดถูกเรื่องเอไอ”
คำพูดนี้ดูขัดแย้งอย่างกับอดีตที่ผ่านมาของทั้งคู่ เพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ทรัมป์เพิ่งโพสต์ในโซเชียลมีเดีย X ว่าอัลท์แมน “ดูเหมือนคนโง่” ขณะที่อัลท์แมนเคยเปรียบทรัมป์กับฮิตเลอร์ สนับสนุนฮิลลารี คลินตัน และวิจารณ์พรรครีพับลิกันว่าเป็นภัยต่อประเทศ
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่ออัลท์แมนโพสต์ข้อความในวันชาติสหรัฐ (4 กรกฎาคม 2025) ว่าเขาไม่ใช่เดโมแครตอีกต่อไป เพราะพรรคเอนเอียงไปทางซ้ายจนเขารู้สึกไร้ที่ยืนทางการเมือง และเรียกตัวเองว่า “Politically Homeless” หรือคนที่ไม่มีพรรคการเมืองสังกัด
การเปลี่ยนแปลงจุดยืนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกมยุทธศาสตร์ที่อัลท์แมนเดินหมากเพื่อสร้างสัมพันธ์กับทรัมป์ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในทำเนียบขาว
แย่งชิงพื้นที่จากมัสก์
หลังจากที่อีลอน มัสก์ฟ้องร้อง OpenAI และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในสนามเอไอ ผ่านบริษัท xAI ของตนเอง เขายังสร้างความใกล้ชิดกับทรัมป์ในช่วงเลือกตั้งปี 2024 โดยปรากฏตัวร่วมเวที ร่วมเดินทางบนเครื่องบิน และพูดในงานต่างๆ กับทรัมป์อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2025 ความสัมพันธ์ระหว่างมัสก์กับทรัมป์เริ่มแตกร้าว เกิดความขัดแย้งในหลายประเด็น ทั้งโครงการอวกาศที่ทรัมป์ไม่แต่งตั้งคนของมัสก์เข้าเป็นหัวหน้านาซา (NASA) รวมถึงนโยบายการใช้จ่ายของรัฐบาลที่มัสก์ไม่เห็นด้วย ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างทั้งสองลดน้อยลงอย่างชัดเจน
เมื่อทรัมป์มีโอกาสสูงที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง อัลท์แมนจึงไม่อาจปล่อยให้เกมนี้ดำเนินไปโดยไม่มีส่วนร่วม OpenAI จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในทำเนียบขาว เพื่อรักษาบทบาทและอำนาจในเวทีเอไอระดับชาติ
อัลท์แมนใช้โอกาสนี้ค่อยๆ วางหมาก สร้างความสัมพันธ์ตรงกับทรัมป์ผ่านการรับประทานอาหาร พูดคุยเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเอไอ และดึงผู้มีอิทธิพลในแวดวงอนุรักษนิยมเข้ามาช่วย ทั้งล็อบบี้ยิสต์สาย MAGA อย่าง เจฟ มิลเลอร์ (Jeff Miller) และที่ปรึกษาทรัมป์อย่าง คริส ลาซิวิทา (Chris LaCivit)
ขณะเดียวกัน กลุ่มเทคโนโลยีสายขวาอย่าง Palantir ภายใต้การนำของปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) ก็มีบทบาทในการผลักดันนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางของอัลท์แมน โดยมุ่งให้เอไอเป็นกลไกเสริมด้านความมั่นคง
ศูนย์ข้อมูล 5 กิกะวัตต์ในอาบูดาบี มัสก์เกือบป่วนล่ม
อัลท์แมนใช้จังหวะนี้ยกระดับบทบาทของ OpenAI ด้วยการประกาศพันธมิตรสามฝ่าย “Stargate” มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ร่วมกับ Oracle และ SoftBank เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทรนโมเดลเอไอขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์
แม้ Microsoft จะไม่ใช่คู่สัญญาอย่างเป็นทางการในโครงการ Stargate แต่ สัตยา นาเดลลา ซีอีโอ Microsoft ซึ่งเป็นพันธมิตรของอัลท์แมน มีบทบาทสำคัญในการประสานนโยบายกับรัฐบาล และถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการเจรจาด้านโครงสร้างพื้นฐานนี้
มัสก์โวยวายว่า SoftBank ไม่มีเงินจริง แต่ทรัมป์ตอบนักข่าวว่า “ใช่ มัสก์เกลียดบางคนในดีลนี้ ก็เหมือนผม ที่มีคนที่ผมเกลียดเหมือนกัน”
มัสก์พยายามขัดขวางโครงการศูนย์ข้อมูล Stargate ขนาด 5 กิกะวัตต์ในอาบูดาบี ซึ่ง OpenAI วางแผนร่วมกับบริษัทท้องถิ่น G42 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับการเทรนโมเดลเอไอขนาดใหญ่
แม้มัสก์จะใช้แรงกดดันในหลายรูปแบบ รวมถึงการผลักดันให้รัฐบาลทรัมป์เลื่อนการประกาศอย่างเป็นทางการของโครงการนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะตรงกับเขา แต่ดีลก็ยังเดินหน้าต่
ในช่วงที่อัลท์แมนอยู่ในขบวนทัวร์กับประธานาธิบดี และเตรียมพร้อมจะยืนเคียงข้างผู้นำ G42 ในการประกาศแผนดังกล่าวนั้น มัสก์ก็เริ่มใช้แรงกดดันต่อ G42 อย่างเข้มข้น
ผลที่ตามมาคือ รัฐบาลทรัมป์ต้องเลื่อนการประกาศออกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ พร้อมทั้งตกลงว่าจะไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐเข้าร่วมในพิธีเปิดโครงการ ทำให้โมเมนตัมทางการเมืองที่อัลท์แมนควรจะได้รับลดทอนลงอย่างชัดเจน
จากผู้อยู่เบื้องหลังสู่การเดินหน้าอย่างเปิดเผย
เดือนมิถุนายน 2025 อัลท์แมนประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญด้วยการเซ็นสัญญามูลค่า 200 ล้านดอลลาร์กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเอไอที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ
พร้อมกันนั้น รัฐบาลสหรัฐก็เตรียมเปิดตัว “AI Action Plan” แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติที่มุ่งส่งเสริมการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเอไออย่างจริงจังและเป็นทางการ
แผนดังกล่าวมีจุดเด่นที่น่าสนใจ คือการอนุญาตให้บริษัทเทคโนโลยีใช้พื้นที่ดินของรัฐบาลกลาง เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นแนวทางที่ถูกมองว่าค่อนข้างสุดโต่ง
อย่างไรก็ตาม แม้แผนนี้จะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากภาคเทคโนโลยี แต่ก็ต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมและนักกฎหมายที่กังวลว่า การยกเว้นขั้นตอนประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนี้ อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในระยะยาวของประเทศ
อัลท์แมนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนนโยบายเอไอเชิงชาติ (National AI) โดยใช้วาทกรรมการแข่งขันกับจีนและรัสเซีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นประเทศเผด็จการ ในขณะที่สหรัฐต้องเร่งสร้างเอไอฝั่งประชาธิปไตยผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและศูนย์ข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพิ่มการผลิตพลังงาน และผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ของรัฐบาลกลาง ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของทรัมป์ที่เคยกล่าวไว้ต่อ โลแกน พอล (Logan Paul) พิธีกรชื่อดังในสหรัฐว่า “จีนจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างเอไอ ดังนั้น เราก็ต้องทำเช่นกัน”
อัลท์แมนยังได้ร่วมพูดในงานสัมมนาของวอชิงตันโพสต์ และงานประชุมของเฟดที่เกี่ยวกับเอไอและเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่เปิดเผยตัวชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายรีพับลิกัน แต่กับคนใกล้ชิด เขาก็ยอมรับว่า “อาจลงคะแนนให้ฝั่งขวาในอนาคต”
วิสัยทัศน์ Techno Capitalism
ในที่สุด (4 มิถุนายน 2025) อัลท์แมนประกาศวิสัยทัศน์ผ่านโพสต์ใน X ว่าเขาเชื่อใน “เทคโนแคปิตอลิสม์” (Techno Capitalism) ซึ่งคนควรมีเสรีภาพในการทำเงินอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยี และรัฐควรเน้นกระจายผลประโยชน์โดยไม่ขัดขวางกลไกตลาด
เขาย้ำว่า “ตลาดทำหน้าที่ได้ดีกว่ารัฐ” และ “ความรู้คือขอบเขตพรมแดนสุดท้ายของสหรัฐ” เขาบอกว่าแนวคิดนี้อยู่กับเขามาตั้งแต่ตอนอายุ 20 และตอนนี้ในวัย 40 เขายังเชื่อเช่นเดิม
สิ่งที่ต่างไปคือ พรรคเดโมแครตที่เคยสอดคล้องกับแนวคิดนี้ ได้หลุดจากเส้นทางไปแล้ว
บทสรุป
กรณีของอัลท์แมนสะท้อนการเปลี่ยนขั้วครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี เมื่อซีอีโอสายเสรีนิยมค่อยๆ ผนึกกำลังกับฝ่ายขวาเพื่อแลกกับโครงสร้างพื้นฐานเอไอที่สามารถแข่งขันกับจีนและโลกเผด็จการได้
อ้างอิง: The wall street journal, The Guardian, CNN, ABC News และ Business Insider