ทำไมเขมรถึงไม่กล้ากับเวียดนาม เบื้องหลัง'ฮุน เซน'กับข้อกล่าวหา "หุ่นเชิดของฮานอย"
ฮุน เซน เคยเป็นทหารของกองกำลังเขมรแดงมาก่อน แต่ต่อมาเขาไม่พอใจกับสถานการณ์ภายใต้การปกครองของเขมรแดง ฮุน เซนและเฮง สัมริน เจ้าหน้าที่อาวุโสของเขมรแดงอีกคนหนึ่ง จึงหลบหนีไปยังเวียดนามในปี พ.ศ. 2520 และเดินทางกลับกรุงพนมเปญอีกครั้งในอีกกว่าหนึ่งปีให้หลัง เนื่องจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างเวียดนามและกัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้น ตลอดระยะเวลา 13 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ถึงวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522 เวียดนามได้เปิดฉากโจมตีแบบสายฟ้าแลบข้ามกัมพูชา และยึดกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของ "กัมพูชาประชาธิปไตย" หรือกัมพูชาภายใต้การปกครองของเขมรแดงได้อย่างรวดเร็ว
และในวันที่สองหลังจากที่กองทัพเวียดนามยึดครองกรุงพนมเปญ คณะกรรมการกัมพูชาได้รับการประกาศให้จัดตั้งขึ้นภายใต้การคุ้มครองของกองกำลังทหารเวียดนาม เฮง สัมลิน เป็นประธานคณะกรรมการ และฮุน เซน ซึ่งขณะนั้นอายุ 28 ปี เป็นสมาชิกของคณะกรรมการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นี่คือก้าวแรกของการขึ้นสู่อำนาจของ ฮุน เซน จากนั้นไม่นานเขาก็ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศจนกระทั่งไม่กี่ปีก่อน แต่ก็ยังอยู่ในฐานะผู้กุมอำนาจตัวจริงของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เขาต้องถูกครหามาโดยตลอดว่าเป็น "เด็กในโอวาทของเวียดนาม" เนื่องจากเป็นคนชักชวนเวียดนามเข้ามา "ปลดปล่อยประเทศจากเขมรแดง" และเป็นเวียดนามที่แต่งตั้งเขาขึ้นมาปกครองประเทศ และยังมีการตั้งแง่กับเวียดยนามเรื่องการรุกรานประเทศกัมพูชาและพยายาม "กลืนกัมพูชา" โดยมี ฮุน เซน เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกให้
เจ้ารณฤทธิ์ ประธานพรรคฟุนซินเปก ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นคู่แข่งทางการเมืองของฮุน เซน เคยกล่าวถึงฮุน เซนว่าเป็น "ข้ารับใช้ตาเดียวของเวียดนาม" นั่นเพราะฮุน เซนได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากเวียดนามในช่วงเริ่มต้นอาชีพทางการเมือง และนับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจ เขาก็ดำเนินนโยบายที่สนับสนุนเวียดนาม
ข้อกล่าวหา "หุ่นเชิดของเวียดนาม" นี้ไม่เพียงแต่ถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขาหยิบยกขึ้นมาโจมตี แต่ยังรวมถึงชาวเวียดนามจำนวนมากด้วยที่ยอมรับในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ฮุน เซนเองไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ ในปี 2559 เขาได้ตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียว่า "เราขอให้ชาวเวียดนามเคารพเอกราชและอธิปไตยของกัมพูชา กัมพูชาไม่ใช่หุ่นเชิดของเวียดนาม และจะไม่รับใช้ผลประโยชน์ของเวียดนาม" อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำกล่าวที่ไร้ความหมายเพราะความจริงเห็นชัดเจนอยู่ว่าฮุน เซน กับเวียดนาม "สนิทสนม" กันมากแค่ไหน
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ฮุน เซน ได้กล่าวสุนทรพจ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ในหัวข้อ “วิสัยทัศน์และประสบการณ์การสร้างสันติภาพกัมพูชา” ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) ซึ่งเขาได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของความช่วยเหลือของเวียดนามในการโค่นล้มระบอบเขมรแดงและกอบกู้กัมพูชา เขากล่าวว่าหากปราศจากการแทรกแซงของเวียดนาม กัมพูชาอาจไม่มีสถานะใดอีกต่อไป
และเขายังตั้งข้อสังเกตว่าตลอด 40 ปีที่ผ่านมา การวิพากษ์วิจารณ์เวียดนามไม่เคยหยุดเลย และเขายังชี้ให้เห็นว่า “หากเวียดนามต้องการผนวกกัมพูชาอย่างแท้จริง รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) อาจยังคงมีอำนาจต่อไปจนกว่าประเทศเขมรจะล่มสลายโดยสิ้นเชิง โดยไม่ต้องส่งทหารอาสาสมัครและเสียสละชีวิต”
ในงานอีเวนต์ที่ขัดที่จาการ์ตา ฮุน เซนเล่าว่าในปี พ.ศ. 2520 เขาริเริ่มเดินทางไปเวียดนามเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ฝ่ายเวียดนามไม่เห็นด้วยในทันที โดยแนะนำให้เขาเดินทางไปยังประเทศที่สาม เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือแคนาดา ฮุนเซนปฏิเสธ โดยระบุว่าหากไม่ได้รับการสนับสนุน เขาจะคืนอาวุธและกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อร่วมแบ่งปันชีวิตและความตายกับประชาชน “ผมอายุเพียง 25 ปีในปีนั้น แต่ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องประเทศชาติ”
“ผมสามารถขอลี้ภัยทางการเมืองได้ แต่ผมเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม หากปราศจากความมุ่งมั่นและแผนการอันรอบคอบของผม เวียดนามคงไม่ไว้วางใจผม” ฮุน เซน กล่าว และในที่สุดเวียดนามจึงตกลงให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนเขาในการจัดตั้งกองกำลังทหารเกือบ 10,000 นาย เป็น "แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติกัมพูชา" และส่งกองกำลังอาสาสมัครไปช่วยเหลือกัมพูชา จนในที่สุดชัยชนะใน "การปลดปล่อยในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522" ก็เกิดขึ้น
ฮุน เซน พยายามที่จะให้คำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวกับความ "สนิทสนม" ของเขากับเวียดนาม ถึงขั้นพยายามแสดงอาการแข็งขืนต่อเวียดนามในบางกรณี เช่น ปฏิเสธที่จะประนีประนอมกับเวียดนามในเรื่องอธิปไตยของเกาะฟูก๊วก โดยยืนยันว่าเกาะนั้นเป็นของกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ฮุน เซน ก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหานี้ เช่น การฟ้องร้องหรือการอนุญาโตตุลาการในเวทีสากล
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ฝ่ายค้านกัมพูชายังกล่าวหารัฐบาลว่าได้ยกดินแดนให้แก่เวียดนามด้วยซ้ำ โดยชี้ว่า ฮุน เซนได้ยกเกาะต่างๆ เช่น เกาะฟูก๊วก (ในภาษาเขมรคือ เกาะตราล) และที่ดินอื่นๆ ให้แก่เวียดนาม
เช่นในปี 2557 สม รังสี แกนนำฝ่ายค้ากล่าว “รัฐบาลฮุนเซนกำลังให้สัมปทานที่ดินแก่เวียดนาม” และ “พวกเขากำลังปล่อยให้เวียดนามบุกรุกที่ดินของเรา” ซึ่งเขาหมายถึงบริษัทเวียดนามจำนวนมากที่ตั้งสวนยางพาราและธุรกิจอื่นๆ ในประเทศกัมพูชา
สม รังสี เปรียบเทียบการให้สัมปทานกับรูปแบบหนึ่งของ “การล่าอาณานิคม” ซึ่งเขากล่าวว่านำไปสู่การควบคุม "กัมพูชากรอม" ของเวียดนาม (ปัจจุบันคือภาคใต้ของเวียดนามบริเวณปากแม่น้ำโขง)
“สิ่งที่เกิดขึ้นในกัมพูชาในขณะนี้ชวนให้นึกถึงการล่าอาณานิคมของเวียดนามในกัมพูชา กรอม [จนถึงศตวรรษที่ 20] เมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวต่างชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนเขมรมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในที่สุดดินแดนดังกล่าวก็ถูกผนวกเข้าโดยเวียดนามหลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสมดุลประชากร” สม รังสีกล่าว
แน่นอนว่า รัฐบาลฮุน เซน ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ตรงกันข้าม กัมพูชาภายใต้ระบอบฮุน เซนกลับข่มขู่และเรียกร้องจากไทยในเรื่องพรมแดนอย่างไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังทำให้ความบาดหมางกับไทยรุนแรงขึ้นด้วยการเรียกร้องเกาะกูดและดินแดนอื่นๆ อย่างไม่หยุดหย่อน
โดยที่ ฮุน เซน ยังคงเป็น "เด็กในโอวาท" และ "หุ่นเชิด" ของเวียดนามที่ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับ "ผู้มีพระคุณ" ประเทศนี้ จนกระทั่ง…
จนกระทั่งไม่นานมานี้เวียดนามรู้สึกว่า ฮุน เซน เริ่มที่จะ "แปรพักตร์" ไปพึ่งพาจีนมากขึ้น ในเวลาเดียวกันก็มีข่าวว่า สม รังสี ศัตรูคู่แค้นของ ฮุน เซน มีแผนที่จะเดินทางเข้าเวียดนามและยังมีข้อมูลหลุดออกมาว่า สม รังสี เคยพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนาม ทำให้ ฮุน เซน ถึงกับแสดงอาการไม่พอใจที่เวียดนามไม่ได้ "เห็นหัว" ตนอีกต่อไป
หลังจากนั้น ฮุน เซน ก็หันไปคบจีนอย่างเต็มตัว ท่ามกลางกระแสวิเคราะห์ว่าเพื่อคานอำนาจและผละตัวเองจากอิทธิพลเวียดนาม
จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อน ฮุน เซน ก็ "แปรพักตร์" จากจีนไปซบอกสหรัฐอเมริกา อย่างที่เราทราบกันดีในเวลานี้
กระนั้นก็ตาม เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฮุน เซน ก็ยังแสดงความสำนึกในบุญคุณของเวียดนามอยู่ และย้ำว่า การถอนกำลังทหารอาสาสมัครเวียดนามหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ "ปลดปล่อยกัมพูชาจากเขมรแดง" นั้นก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเวียดนามไม่มีเจตนารุกราน และกล่าวว่า “ประชาคมระหว่างประเทศควรมองประวัติศาสตร์ด้วยทัศนคติที่เป็นกลาง และไม่ประณามระบอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (เขมรแดง) ในขณะเดียวกันก็กล่าวโทษผู้ที่สนับสนุนการโค่นล้มระบอบนี้ (หมายถึงเวียดนาม)”
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝั่ม มิญ จิ๊ญ จับมือกับ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (ในขณะนั้น) ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย (ในขณะนั้น) ยืนด้านซ้าย และอดีตประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซียยืนด้านขวา พากันยิ้มแย้มระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 40 และ 41 ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)