ตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอสุดรอบ 5 ปี สัญญาณเตือนภัยเศรษฐกิจโลก
รายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคมที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 สิงหาคม) ได้ส่งสัญญาณเตือนครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงการจ้างงานที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังจุดชนวนความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหม่ และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ให้ต้องทบทวนนโยบายการเงินอีกครั้ง
ข้อมูลดังกล่าวได้ฉายภาพตลาดแรงงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และกำลังส่งสัญญาณเตือน 3 ประการที่สำคัญ นั่นคือ 1. เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน 2. ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเศรษฐกิจกำลังถูกสั่นคลอน และ 3. ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน
ตัวเลขจ้างงานอ่อนแอสุดตั้งแต่ช่วงโควิด-19
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) สะท้อนความอ่อนแอในหลายมิติ โดยการจ้างงานเมื่อเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 104,000 ตำแหน่ง อย่างชัดเจน ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยการจ้างงานในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่เพียง 35,000 ตำแหน่งต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เชื่องช้าที่สุดนับตั้งแต่ยุคโควิด-19
ส่วนข้อมูลที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การปรับลดตัวเลขการจ้างงานของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนลงรวมกันถึงเกือบ 260,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปรับลดในรอบ 2 เดือนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 นอกจากนี้ อัตราการว่างงานยังขยับสูงขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 4.2% เพิ่มขึ้นจาก 4.1% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ตัวเลขเหล่านี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดแรงงานซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังสูญเสียแรงส่งอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่เริ่มชะลอตัวอยู่แล้ว
นักลงทุนโยกเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย หุ้นสหรัฐฯ ร่วง 4 วันติด
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll) ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อมาประกอบกับรายงานตัวเลข ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯที่ออกมาย่ำแย่กว่าตลาดคาดในวันเดียวกัน
และแรงกดดัน 1 วันก่อนหน้าทรัมป์ประกาศเดินหน้าเก็บภาษี Reciprocal tariff ทั่วโลก แม้ว่าจะเป็นอัตราภาษีที่ลดลงจากประกาศครั้งแรก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับยุคก่อนหน้าอยู่ดีส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวต่อเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงในแง่ของการโยกย้ายเงินลงทุนช่วงสั้น สะท้อนผ่านการปรับตัวลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้น อย่างหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงลง 4 วันติดต่อกัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ สวนทางกับการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งพันธบัตรและทองคำ เป็นต้น
จากข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ และภาคการผลิต “เป็น leading indicator ในฝั่งของอุปทานที่เปราะบางทั้งคู่ สำหรับภาคการผลิตไม่ใช่แค่สหรัฐฯ ก่อนหน้านั้นก็เห็นตัวเลขภาคการผลิต (PMI) ของจีนต่ำกว่าคาดเช่นกัน และอยู่ในโซนหดตัวต่อเนื่อง หากดูตัวเลข PMI ทั่วโลกเดือนกรกฎาคม ก็อยู่ในโซนหดตัวที่ 49.7”
ข้อมูล 2 ส่วนนี้ สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง และทำให้คำว่า Recession และ Soft Landing เริ่มกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง รวมทั้งการเข้าสู่วงจรการลดดอกเบี้ย ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง เพราะอิทธิพลของตัวเลขเศรษฐกิจย่ำแย่ และการปรับลดคาดการณ์กำไร จะกลบอิทธิพลจากการลดดอกเบี้ยไปทั้งหมด จนกว่าราคาสินทรัพย์ต่างๆ จะสะท้อนความกลัว Recession ไปทั้งหมด ซึ่งจะไปเกิดขึ้นในช่วงท้ายๆ ที่ตัวเลขเศรษฐกิจย่ำแย่เกือบจะสุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ณัฐชาตมองว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจจะต้องมาจากปัจจัยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คาดคิด แต่หากเป็นปัจจัยเดิมน่าจะทำให้เศรษฐกิจซึมลง ซึ่งจะใช้ระยะเวลายาวนานกว่าเมื่อเทียบกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
ทรัมป์สั่งปลดกรรมาธิการของสำนักงานสถิติแรงงาน เมื่อความจริงไม่ถูกใจการเมือง
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังรายงานถูกเผยแพร่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่ง ปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ กรรมาธิการของสำนักงานสถิติแรงงานออกจากตำแหน่งทันที
ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social โดยกล่าวหาว่าแมคเอนทาร์เฟอร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัย โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ “ปลอมแปลงตัวเลขการจ้างงานก่อนการเลือกตั้งเพื่อพยายามเพิ่มโอกาสชนะให้กับคามาลา (แฮร์ริส)” และเรียกการปรับปรุงตัวเลขย้อนหลังว่าเป็น “ความผิดพลาดครั้งใหญ่”
“เราต้องการตัวเลขการจ้างงานที่แม่นยำ ผมได้สั่งการให้ทีมงานของผมไล่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองจากไบเดนคนนี้ออกทันที เธอจะถูกแทนที่ด้วยคนที่มีความสามารถและคุณสมบัติมากกว่า” ทรัมป์ระบุในโพสต์
การกระทำดังกล่าวสร้างความกังวลอย่างกว้างขวางถึงความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของหน่วยงานสถิติของรัฐบาล โดยแม้กระทั่ง วิลเลียม บีช ซึ่งเป็นผู้ที่ทรัมป์แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ BLS ก่อนหน้าแมคเอนทาร์เฟอร์ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า การปลดครั้งนี้ “ไม่มีมูลความจริงโดยสิ้นเชิง สร้างบรรทัดฐานที่อันตราย และบ่อนทำลายภารกิจทางสถิติของสำนักงาน” และเป็นการ “ยกระดับการโจมตีอย่างไม่เคยมีมาก่อนต่อความเป็นอิสระและความซื่อตรงของระบบสถิติของรัฐบาลกลาง”
ด้าน ปีเตอร์ มัลลุก ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ Creative Planning กล่าวว่า ในตอนแรกเขาคิดว่าโพสต์ของทรัมป์เป็นเรื่องล้อเลียน “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสุขภาพเลย เราไม่สามารถมีตัวเลขชุดหนึ่งออกมา แล้วก็ไล่ใครบางคนที่รับใช้มาหลายรัฐบาลออก เพียงเพราะคุณไม่ชอบตัวเลขนั้น”
ปัญหาเบื้องหลังการปรับปรุงตัวเลขที่รุนแรงนี้ ส่วนหนึ่งมาจาก อัตราการตอบแบบสำรวจที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ประกอบกับ ข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากรของหน่วยงานสถิติ ซึ่งทำให้ข้อมูลเบื้องต้นมีความแม่นยำลดลงและเสี่ยงต่อการปรับปรุงแก้ไขในภายหลังมากขึ้น
ตลาดเดิมพัน ‘Fed’ ลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย. นี้
รายงานการจ้างงานที่อ่อนแอนี้ได้เปลี่ยนมุมมองของตลาดต่อทิศทางนโยบายการเงินของ Fed ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของ Fed มีมติ ‘คงอัตราดอกเบี้ย’ ในการประชุมเมื่อวันพุธ (30 กรกฎาคม) โดยในขณะนั้น เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ยังคงให้ความเห็นว่าตลาดแรงงาน “ยังคงแข็งแกร่ง”
แต่หลังจากตัวเลขในวันศุกร์ถูกเปิดเผย ตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยได้ปรับเพิ่มโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกันยายน จากเดิมที่ประมาณ 40% พุ่งสูงขึ้นเป็นเกือบ 90% ในทันที
เวโรนิกา คลาร์ก นักเศรษฐศาสตร์จาก Citi ให้ความเห็นว่า “เป็นที่แน่นอนว่าหาก Fed ได้เห็นตัวเลขเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับลดตัวเลขย้อนหลังครั้งใหญ่ของเดือนมิถุนายนและพฤษภาคม ก่อนการประชุมเมื่อวันพุธ พวกเขาอาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยไปแล้วในวันพุธก็เป็นได้”
สถานการณ์นี้ทำให้ Fed ตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากอย่างยิ่ง โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว กับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่อาจถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้งจากมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งทรัมป์เองก็ได้ออกมาโจมตีพาวเวลล์อย่างต่อเนื่อง และเรียกร้องให้คณะกรรมการ Fed คนอื่นๆ เข้าควบคุม หากพาวเวลล์ยังไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย
รายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมอาจเป็นสัญญาณเตือนที่ดังและชัดเจนว่า เศรษฐกิจในยุคทรัมป์ 2.0 กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่เปราะบางและท้าทายอย่างยิ่ง และกำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลทั้งต่อเสถียรภาพทางการเมือง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล และความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
ภาพ:EschCollection / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2025/08/01/trump-erika-mcentarfer-jobs-report-fired.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-08-02/trump-s-next-job-selling-skeptical-americans-on-his-economy?srnd=phx-economics-v2
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-08-01/us-adds-73-000-jobs-after-downward-revisions-in-prior-months
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-08-01/biggest-job-revisions-since-2020-expose-pitfall-of-economic-data
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-08-01/weak-us-jobs-data-call-fed-s-wait-and-see-approach-into-question?srnd=phx-economics-v2