Nice one, Sonny! คำตอบในน้ำตา วันอำลาซนฮึงมิน
“เอ้า นี่นายร้องไห้อยู่นี่!”
ซนฮึงมิน ตะโกนแซวตากล้องประจำสโมสรทอตแนม ฮอตสเปอร์ ที่พยายามทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดในการบันทึกความทรงจำช่วงสุดท้ายของกัปตันที่ประกาศอำลาสโมสรเพียง 1 วันก่อนนัดสุดท้าย (แม้ทุกคนจะรู้อยู่ก่อนแล้วก็ตาม) เพื่อเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่และครั้งสุดท้ายของเขาเองกับแอลเอเอฟซี ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันหญิงสาวผู้เป็นทีมงานโซเชียลมีเดียของสเปอร์สก็พยายามวิ่งตามอัดวิดีโอโมเมนต์ส่งท้ายของ ‘Sonny’ โดยที่ตัวเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“หยุดเลยนะ หยุดร้องเลย” ตะโกนแซวตากล้องต่อ แม้ว่าตัวเองก็น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เหมือนกัน
เพราะมันยากเหลือเกินในช่วงเวลาแบบนี้ที่จะสะกดไม่ให้น้ำใสๆไหลออกมา เมื่อการเดินผจญภัยที่กินระยะเวลา 10 ปีและผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมายกำลังจะสิ้นสุดลง
แต่มันไม่ได้หมายความว่าเมื่อช่วงเวลานี้ผ่านไปแล้ว ทุกคนจะลืม
ใครจะกล้าลืมนักฟุตบอลที่แสนดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอลจริงไหม?
บางครั้งเวลาก็ผ่านไปไวแบบน่าเหลือเชื่อเหมือนกันนะครับ ไม่กี่วันก่อนระบบเตือนความทรงจำบน Facebook บอกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วผมเคยแชร์โพสต์เรื่องราวของการทำงานบางอย่างเอาไว้ซึ่งเอาเข้าจริงก็จำไม่ได้ว่าโพสต์อะไรไปแบบนั้น
แต่การได้ย้อนกลับไปอ่านความคิดและชีวิตของตัวเองในตอนนั้นก็เป็นกระจกสะท้อนที่ดีของชีวิตอยู่พอสมควร ว่าเราเดินทางผ่านมานานแค่ไหนและไกลแค่ไหนจากวันนั้น
เรื่องราวของซนฮึงมินกับสเปอร์สเองก็เข้าตำราเดียวกัน เพราะเขาย้ายจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน มาอยู่ในอังกฤษได้ครบ 10 ปีพอดี หรือถ้าจะนับจริงๆ คือเกือบครบ 10 ปี เพราะวันที่เซ็นสัญญาเกิดขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม 2015
ความจริงการย้ายทีมในครั้งนั้นเกือบจะไม่เกิดขึ้นแล้วหากดาเนียล เลวี ในฐานะประธานสโมสรสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาซื้อไซโด เบราฮิโน ศูนย์หน้าดาวเด่นของวงการฟุตบอลอังกฤษจากเวสต์ บรอมวิช อัลเบียนได้ในตอนนั้น
การดึงเช็ง ต่อรองราคาที่นำไปสู่การเจรจาที่ตกลงกันไม่ได้ (ซึ่งกลายเป็นฝันร้ายของเบราฮิโน) นำไปสู่ประตูบานใหม่ของสเปอร์สที่ต้องพยายามเร่งรีบในการหากองหน้าเข้ามาเสริมทัพตามที่เมาริซิโอ โปเช็ตติโน ผู้จัดการทีมในเวลานั้นต้องการ
สเปอร์สจึงยอมจ่ายเงิน 22 ล้านปอนด์เพื่อแลกกับกองหน้าที่กำลังเริ่มเป็นดาวเด่นในบุนเดสลีกา มาร่วมทีม
เวลานั้นซนฮึงมินยังเป็นแค่หนุ่มตี๋วัย 23 ปีเท่านั้น และด้วยค่าตัวของเขาก็เป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ไม่น้อยในฐานะของนักฟุตบอลชาวเกาหลีใต้ที่พิสูจน์ตัวเองในเวทีพรีเมียร์ลีกได้น้อยมาก ด้วยข้อจำกัดของเรื่องสรีระและความสามารถ
มีเพียงแค่ พัคจีซอง และอียองเปียว ที่พอจะถือว่าสอบผ่านในพรีเมียร์ลีก โดยที่ทั้งสองย้ายมาแจ้งเกิดในลีกสูงสุดของอังกฤษพร้อมกันในฤดูร้อนของปี 2005 หลังสร้างชื่อในทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004/05
ปพัคจีซองกลายเป็น Cult hero ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 4 สมัย
ส่วนอียองเปียวแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่ากันแต่ช่วงระยะเวลา 3-4 ปีในไวท์ฮาร์ทเลน ก็ดีพอที่จะทำให้แฟนสเปอร์สพร้อมจะเปิดใจต้อนรับรุ่นน้องของเขาอย่างซนฮึงมิน
โดยที่ไม่มีใครคาดหวังอะไรมากเท่าไรนัก
อาจเป็นเหมือนที่ใครหลายคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าไม่คาดหวังก็ย่อมไม่ผิดหวัง
ที่สำคัญคือซนฮึงมินดันทำได้เกินกว่าที่หลายคนหวังเสียอีก
จากบทบาทของกองหน้าดาวรุ่งที่มาเพื่อเป็นกำลังเสริมในแนวรุกเฉยๆ เด็กหนุ่มผู้เกิดและเติบโตที่เมืองชุนชอน เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากโซลราว 20 นาที แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีความพิเศษมากมายในตัว
โดยที่ก่อนหน้าจะย้ายมาสเปอร์ส ซนฮึงมิน – ซึ่งถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักตั้งแต่วัยเด็กจากพ่อของเขาที่หวังสร้างยอดนักเตะขึ้นมา เป็นนักเตะดาวรุ่งที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้าร่วมโครงการพิเศษในการเป็นนักฟุตบอลแลกเปลี่ยนของสมาคมฟุตบอลเกาหลีใต้ที่จะเฟ้นหาเด็กดาวรุ่งฝีเท้าดีที่ได้ไปเก็บเกี่ยววิชาและประสบการณ์กับสโมสรในบุนเดสลีกา อย่างฮัมบูร์ก
แววอันโดดเด่นของเขาทำให้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาในโครงการแล้วฮัมบูร์กรีบยื่นข้อเสนอให้พิจารณาทันที เพราะเล็งเห็นว่าเด็กคนนี้มีความพิเศษในตัว
ที่สุดแล้วซนฮึงมินก็ได้ขึ้นชั้นจากระดับทีมเยาวชนของ ‘สิงห์เหนือ’ หนึ่งในสโมสรฟุตบอลระดับตำนานของเยอรมันที่เคยเกรียงไกรในช่วงยุค 70 – มาสู่ทีมชุดใหญ่ โดยที่มีเรื่องเล่าน่าประทับใจเกิดขึ้นในช่วงนั้น
เพราะในช่วงที่ขึ้นจากทีมอคาเดมีมา คนที่อาสามาเป็นพี่เลี้ยงให้คือ รุด ฟาน นิสเตลรอย หัวหอกพญายมที่เป็นหนึ่งใน ‘หมายเลข 9’ ที่เก่งที่สุดของโลกในยุคนั้น โดยในช่วงนั้นอาจจะเป็นช่วงโรยราแล้ว แต่แววตาของอดีตกองหน้าพีเอสวี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเรอัล มาดริด มองออกอย่างชัดเจนว่าเด็กคนนี้มีของ
ฟาน นิสเตลรอย รู้ว่าการใช้ชีวิตในลีกฟุตบอลยุโรปไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักฟุตบอลจากเอเชีย โดยเฉพาะเด็กที่จำเป็นต้องเดินทางมาใช้ชีวิตตามลำพังแบบนี้ จึงคอยปกป้องและให้คำแนะนำต่างๆไม่เพียงแค่เรื่องในสนาม แต่รวมถึงการใช้ชีวิตนอกสนามด้วย
“เขาเคยบอกผมว่าขาดเหลืออะไรก็ขอให้บอกนะ” ซนฮึงมินเคยเล่าถึงความหลังในวันนั้น และเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าประทับใจที่สุดของเขา
หรือในช่วงที่เขาได้รับบาดเจ็บหนักก่อนหน้าที่ทีมจะทำการถ่ายภาพหมู่ประจำฤดูกาล ฟาน นิสเตลรอย สังเกตเห็นรุ่นน้องไม่โอเคเพราะยังเสียใจกับการบาดเจ็บหนักจนไม่อยากจะถ่ายภาพร่วมกับทีม หัวหอกรุ่นพี่มาปลอบว่า ‘พวกเรารอนายได้เสมอ’
สิ่งเหล่านี้ทำให้ซนฮึงมินอบอุ่นในหัวใจ และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาอยากส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในฐานะรุ่นพี่ที่ดีด้วย
และเขารักษาสิ่งเหล่านี้ตลอดมา
ที่ไวท์ฮาร์ทเลนนั้นมีตำนานตลอดกาลที่แฟนๆ จดจำหลายคน โดยเฉพาะ 2 ตำนานดาวยิงตลอดกาลอย่าง จิมมี กรีฟส์ และแฮร์รี เคน อีกทั้งยังมีเกล็นน์ ฮอดเดิล, ออสซี อาร์ดิเลส, พอล แกสคอยน์, เท็ดดี เชอริงแฮม และอีกมากมาย
แต่ซนฮึงมินพิเศษกว่าตำนานเหล่านี้
ลำพังตัวเลขสถิติในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาของซนฮึงมิน 173 ประตูกับอีก 101 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 454 นัดก็ถือว่ายอดเยี่ยมในระดับตำนานของสโมสรได้อยู่แล้ว
ไม่นับประตูมหัศจรรย์ในเกมกับเบิร์นลีย์ ที่โซโลเดี่ยวจากแดนตัวเองเข้าไปยิงในฤดูกาล 2021/22 จนได้รางวัล ‘ปุสกัช อวอร์ด’ หรือประตูยอดเยี่ยมแห่งปีที่ได้จากการโหวตของแฟนฟุตบอลทั่วโลก
มองกันในเรื่องพรสวรรค์การเล่น เราสามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือนักเตะจากเอเชียคนแรกที่อยู่ในระดับ ‘ซูเปอร์สตาร์’ ผู้เก่งกาจไม่ได้แพ้ใครในโลกเลย (ซึ่งสำคัญมากสำหรับนักเตะจากเอเชียในพรีเมียร์ลีกยุคต่อมา เช่น คาโอรุ มิโตมะ หรือล่าสุดโคตะ ทาคาอิ) แต่มันมีสิ่งที่ทำให้เขาเป็นมากกว่านั้น
อย่างแรกคือซนฮึงมินเป็นนักฟุตบอลผู้ทุ่มเทที่สุดเสมอ
จากฮัมบูร์ก สู่เลเวอร์คูเซน ก่อนถึง 10 ปีกับสเปอร์ส ซนฮึงมินแสดงให้เห็นว่าเขาคือ ‘บูรพาไม่แพ้’
ไม่แพ้คือไม่เคยยอมแพ้ ไม่ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคหรือความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เราจะได้เห็นจากทุกเกมที่ลงสนามคือภาพของนักเตะที่พยายามจะทำอะไรสักอย่างที่จะนำชัยชนะมาสู่ทีมให้ได้
หรือหากอะไรมันจะไม่เป็นใจแล้ว อย่างน้อยก็ขอให้ได้วิ่งจนหมดแรง วิ่งเพื่อช่วยเพื่อนร่วมทีมทุกคน และวิ่งเพื่อตอบแทนกำลังใจจากแฟนๆ
มันกลายเป็น ‘ภาพจำ’ ที่ทำให้เขาชนะใจผู้คนได้ และไม่ใช่แค่เฉพาะกับเพื่อนร่วมทีมหรือแฟนๆของสเปอร์ส แต่พิชิตใจของแฟนฟุตบอลทุกทีมที่ได้เห็น
อย่างต่อมาคืออุปนิสัยความเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ มีรอยยิ้มให้ทุกคนเสมอ เล่นตามกฎกติกาตลอดไม่เคยทำเรื่องสกปรกหรือใช้ศิลปะการเล่นด้านมืดเข้ามา
เช่นกันกับแฟนๆที่หากมีโอกาสซนฮึงมินไม่เคยปฏิเสธแฟนๆเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป แจกลายเซ็น หรือแม้แต่การโบกมือทักทายให้ทุกคนที่เรียกชื่อเขาในสนาม เพราะเขารู้ว่าแม้มันจะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่มันมีค่าแค่ไหนสำหรับแฟนๆเหล่านี้
และอย่างสุดท้ายคือ ‘ความภักดี’ (Loyalty) ที่มีให้แก่สโมสร ซึ่งเป็นค่านิยมที่หาได้ยากยิ่งในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน
ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา เราพอจะพูดได้ว่าซนฮึงมินสามารถเลือกจะย้ายไปเล่นให้ทีมไหนก็ได้ในโลก ทุกทีมพร้อมจะต้อนรับเขาหมดไม่ใช่แค่เพราะเรื่องของฝีเท้า อย่าลืมว่านี่คือซูเปอร์สตาร์เอเชีย คนที่โด่งดังที่สุดในเกาหลีใต้ นั่นหมายถึงโอกาสในการทำการตลาดที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล
แต่เขาไม่เคยทิ้งสเปอร์สไปไหน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
สิ่งเหล่านี้มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับแฟนสเปอร์ส และทำให้เขาได้รับการยอมรับและกลายเป็น ‘ที่รัก’ ของทุกคน
เป็น Role Model หรือบุคคลต้นแบบที่ควรค่าแก่การยกย่องจากส่วนลึกของหัวใจ
ย้อนกลับไปในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่ายูโรปาลีกเมื่อช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว ซนฮึงมินดีใจจนเก็บทรงไม่ค่อยอยู่หลังจากที่สเปอร์สเฉือนเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้
พิธีกรภาคสนามสัมภาษณ์เขาด้วยการยิงคำถามเรื่องเกี่ยวกับ ‘สถานะของการเป็นตำนาน’ ที่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอด
“ตอนนี้ผมเป็นตำนานจริงๆ แล้ว” ซอนนีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนที่ได้ยิน
จริงอยู่ที่แชมป์นี้มีความหมายเหลือเกินเพราะเป็นแชมป์แรกของสเปอร์สในรอบระยะเวลาเกือบ 20 ปี และยังเป็นการทำลายคำสาป ‘Spursy’ ที่ถูกตีตราว่าเป็นทีมจอมล้มเหลวสม่ำเสมอได้ด้วย
แต่ต่อให้วันนั้นเขาจะไม่ได้ชูถ้วยแชมป์ ก็ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของแฟนสเปอร์สทุกคนที่มีต่อซนฮึงมินได้
เพราะเขาเป็นตำนาน หรืออาจจะเป็นมากกว่านั้นมานานแล้ว
และนั่นอาจเป็นคำตอบของน้ำตาว่าทำไมทุกคนถึงร้องไห้ในวันสุดท้ายของซนฮึงมินกับสเปอร์ส
กับเพลงเชียร์ที่จะทุ้มอยู่ในใจตลอดไป
Nice one Sonny,
Nice one Son,
Nice one Sonny,
Let’s have another one…