‘found & found’ ธุรกิจแนวรบใหม่ของ ‘OR’ อีก 5 ปี ขอแตะ ‘หมื่นล้าน’ ทะยานสู่ 500 สาขา

หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจ “Non-oil” ของเจ้าพ่อน้ำมันอย่าง “OR” เติบโตรุกคืบก้าวกระโดด ตั้งแต่แผนขยายกิจการ “คาเฟ่ อเมซอน” (Café Amazon) เปิดคอมมูนิตี้มอลล์ปั๊มไม่ขายน้ำมัน “OR Space” และล่าสุดกับธุรกิจร้านสุขภาพและความงาม “found & found” ที่ตอนนี้มีอายุครบ 1 ปี กับหน้าร้านอีก 12 สาขา ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท โออาร์ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส จำกัด หรือ ORHW บริษัทลูกในเครือ OR เพื่อติดสปีดเร่งเครื่องธุรกิจสุขภาพและความงามให้เป็นไปตามโรดแมป ที่อีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2573 เราอาจได้เห็น “found & found” ครบ 500 สาขา พร้อมกับรายได้แตะ “หมื่นล้านบาท”

“ณัฐพล ชูจิตารมย์” หัวเรือใหญ่ร้าน found & found ในฐานะผู้บริหาร ORHW สรุปภาพรวมหลังเปิดมาครบ 1 ปีให้ฟังว่า ขณะนี้ธุรกิจยังอยู่ในช่วงการทำโปรโตไทป์เพื่อหาโมเดลที่เหมาะสม ที่ผ่านมาผู้บริโภคให้การตอบรับค่อนข้างดี ขยายไปแล้ว 12 สาขา โมเดลที่วางไว้มีตั้งแต่ขนาดเล็กสุด 40 ตารางเมตร ไปจนถึงใหญ่สุดที่ 150 ตารางเมตร แล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่และความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่นั้นๆ ใหญ่ไปก็อาจจะหาของไม่สะดวก หรือไม่เหมาะกับสเกลแบรนด์ในเวลานี้ ต้องค่อยๆ สร้างแบรนดิ้งให้เป็นที่จดจำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม “found & found” ไม่ใช่ร้านสุขภาพและความงามเจ้าแรกในตลาด ทว่า ต้องเจอศึกหนักจากพี่ใหญ่หลายราย แต่ “ณัฐพล” มองว่า “found & found” มีจุดแข็งหลายอย่าง สำคัญที่สุด คือการมี “Sugi Pharmacy” เป็นพาร์ทเนอร์รายใหญ่ในการประสานงานเพื่อจัดหาสินค้ามาที่ร้าน จุดเด่นของ “Sugi Pharmacy” คือโปรดักต์ Private Brand ซึ่งเป็นสินค้า Made in Japan คุณภาพสูงในราคาย่อมเยา รวมถึงความละเอียดลออของไลน์สินค้าแบบญี่ปุ่นที่มีหลากหลายประเภทให้เลือก อาทิ แชมพูสำหรับผมขาดหลุดร่วง แชมพูชะลอการเกิดเม็ดสี เป็นต้น

ผู้บริหารบอกว่า ราคาสินค้าตัวเดียวกันที่ประเทศต้นทางเทียบกับสินค้าในร้าน found & found ไม่ได้หนีไปกว่ากันมากนัก เพดานความต่างสูงสุดไม่เกิน 15% ส่วนหนึ่งเป็นค่านำเข้า ค่าขนส่งบวกรวมไปด้วย ร้านก็อยากทำราคาให้ดีที่สุดเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าไม่ต้องบินไปเที่ยวก็ช้อปได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทิ้งสินค้าไทย ในร้านมีสินค้าแบรนด์ไทยที่ได้รับความนิยมหลายแบรนด์ อาทิ ศรีจันทร์ SASI MizuMi หรือ INGU เป็นต้น รวมๆ แล้วทั้งสินค้าญี่ปุ่น เกาหลี และไทย มีอยู่ราว 3,500-5,000 SKU เป็นสัดส่วนที่พอเหมาะกับการทำแบรนดิ้งแล้ว

“พาร์ทเนอร์ที่ญี่ปุ่นของเรา คือ Sugi Holdings ทำร้านขายยาชื่อ Sugi Pharmacy เราคัดเลือกสินค้าแล้วเขาจะเป็นคนประสานงานให้ซัพพลายสินค้ามาที่ร้าน จริงๆ มีโมเดลที่เขากำลังลงทุนเป็นร้านขายยาจะแบ่งโลเคชันในร้าน found & found ซึ่งตอนนี้มี 1 สาขาแล้วที่ The Glass Market บางนา ในอนาคตก็อาจจะไปคู่กันในพื้นที่ที่ต้องการร้านขายยาเพิ่ม เพราะ Sugi มีร้านขายยาทั่วญี่ปุ่น 2,000 สาขา และมี Private Label Brand ชื่อ S-Select ที่ found & found ก็จะทยอยนำสินค้า S -Select เข้ามาเสริมทัพด้วย เพราะเป็นสินค้าคุณภาพสูงที่ราคาเข้าถึงง่าย”

-ณัฐพล ชูจิตารมย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออาร์ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส จำกัด หรือ ORHW-

ในอนาคต“found & found” มีแผนทำสินค้า OEM ของตัวเองเพิ่มเติมนอกเหนือจากสินค้านำเข้า โดยจะเป็นกลุ่มสินค้า Personal Care และสกินแคร์ มองว่า การทำธุรกิจลักษณะนี้การผลิตสินค้า OEM จะช่วยให้รายได้มีความยั่งยืนมากขึ้น อนาคตอาจได้เห็น “Private Brand” ของ found & found ตามแผนจะอยู่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โดยสิ้นปี 2569 จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น

“ณัฐพล” บอกว่า ตอนนี้ธุรกิจเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังมีโอกาสอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า ที่ผ่านยังไม่ได้ทำการตลาดจริงจัง แต่ก็มีสัดส่วนลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ บางพื้นที่มีกลุ่มลูกค้าเก่ามากกว่า 50% ด้วยซ้ำ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะมองหาลูกค้าใหม่เพราะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ปีหน้าจะเป็นปีที่เริ่มสเกลจริงจัง อีก 3 ปีข้างหน้าต้องมี 200 สาขา ส่วนเป้าใหญ่ในอนาคตปักธง 500 สาขาภายในปี 2573

มั่นใจว่า จะไปถึงเป้าได้สำเร็จ จากฐานรากที่แข็งแรงในเรื่องของ “Physical Platform” ทั้งการไปอยู่ในปั๊มน้ำมัน PTT Station และการเปิดในรูปแบบ “Connecting Wall” กับคาเฟ่อเมซอนก็ทำได้ ซึ่งนอกจากพื้นที่ในปั๊มน้ำมัน “found & found” ยังไปอยู่ในคอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้า และตึกออฟฟิศสำนักงานด้วย อยู่ในช่วงเรียนรู้ว่า โมเดลแบบไหนที่เหมาะสมกับธุรกิจมากที่สุด

ด้านรายได้ในปีนี้เนื่องจากธุรกิจอยู่ในช่วงโปรโตไทป์จึงไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขได้ชัดเจน แต่แผนสำหรับ 5 ปีหลังจากนี้ประเมินไว้ว่า “found & found” จะเริ่มไต่ระดับสู่หลักพันล้าน และไปจบที่ “10,000 ล้านบาท” ในปี 2573 ที่มีแผนเปิดให้ครบ 500 สาขา มองว่า มีความเป็นไปได้ โดยตัวเลขนี้ยังเป็นสัดส่วนที่ OR เป็นเจ้าของเองทั้งหมด 100% เหตุผลเพราะต้องมองเรื่องจุดคุ้มทุน รวมถึงมองหาโมเดลที่ยั่งยืนในอนาคตหากตัดสินใจเปิดในรูปแบบแฟรนไชส์

“ธุรกิจนี้ควรมีแฟรนไชส์เข้ามา เพราะแนวทางการบริหารของ OR เป็น Inclusive Growth Model ธุรกิจของ OR ไม่ว่าจะปั๊มน้ำมันหรือคาเฟ่อเมซอนเราเป็นเจ้าของอยู่ 20% อีก 80% คือดีลเลอร์ อีก 3 ปีจะถึง 200 สาขาก็ค่อยมาคุยเรื่องทำแฟรนไชส์ เพราะการทำโมเดลนี้กับธุรกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่มีใครทำ สินค้าที่เราทำไม่ได้มีมาร์จิ้นสูงมาก แต่ผมก็ยังมีความเชื่อว่า OR มีความชำนาญในการทำโมเดลแฟรนไชส์ แต่ทำอย่างไรจะไดร์ฟมาร์จิ้นให้ได้สำหรับแฟรนไชส์หรือดีลเลอร์ที่เข้ามาทำ ผมว่า ยังมี Room ในการพัฒนาโมเดลตรงนี้” ผู้บริหาร ORHW กล่าวปิดท้าย