โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

วิชารัฐมนตรี (9)

ไทยโพสต์

อัพเดต 25 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า

บทที่ 6 (ต่อ)

ผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์

3.การนำด้วยกลยุทธ์

ความสามารถในการคิดหากลยุทธ์การนำเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ ซึ่งเปรียบเสมือนงานฝีมือที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การนำเสนอแนวทางใหม่ๆ ในการบุกเบิกทิศทางการพัฒนา การแก้ปัญหา และการนำสิ่งที่ดีที่สุดออกมาให้ผู้ร่วมงานได้ทำงานเพื่อประโยชน์ต่อองค์กร สังคมและประเทศ

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ มองว่า ผู้นำจะไม่ทำอะไรที่ไม่สำเร็จ ถ้ารู้อยู่แล้วว่าทำแบบนี้จะไม่สำเร็จก็ต้องไม่ทำ ต้องคิดหาวิธีใหม่ที่จะทำให้สำเร็จ ใช้ทางลัด ทางเบี่ยง ทางเลี่ยงบ้าง ให้เห็นปัญหาเป็นโอกาส เมื่อเห็นเป็นโอกาสเราจะมีทางเลือกมากมายให้เลือก และทดลองทำให้เกิดความสำเร็จเล็กๆ ก่อน จะทำให้กองทัพมีความฮึกเหิม ถ้ารบชนะไปเรื่อยๆ จะมีความมั่นใจออกรบสนามใหญ่ได้อย่างไม่หวั่นเกรง ยกตัวอย่าง การที่ได้ตั้ง “ธัชชา ธัชวิทย์ ธัชภูมิ” ขึ้นมา เป็นวิทยสถานหรือเป็นมหาวิทยาลัยแบบไม่เป็นทางการ เพราะทราบดีว่า ถ้าจัดตั้งโดยนำเข้าไปอยู่ในระบบมหาวิทยาลัย เรื่องนี้จะไม่สำเร็จ หรือสำเร็จแต่ช้า ซึ่งตอนนี้ทั้ง 3 วิทยสถาน ได้ปักหมุดเป็นฐานการผลิต การนำทัพ สร้างคนเก่งทั้งวิทย์และศิลป์ เพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายใน พ.ศ.2580 เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น เขามักย้ำว่าเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ต้องคิดหาวิธีการนำ เพื่อนำพาหรือเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือประเทศให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยไม่หลงไปกับความสำเร็จเดิมและทำไปเรื่อยๆ จะทำให้เสียโอกาสการเป็นผู้นำ

4.การตัดสินใจ

สำหรับเอนก เหล่าธรรมทัศน์ การตัดสินใจไม่ได้หมายถึงการเลือกทำทุกเรื่อง แต่คือ การจัดลำดับความสำคัญ เลือกประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ และลงมือทำให้เกิดผลลัพธ์ โดยเลือกผลักดัน “เรื่องที่สำคัญที่สุด” แทนที่จะกระจายความสนใจไปยังทุกนโยบายที่ได้รับมอบหมาย และมองว่าสิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ว่าอะไรคือจุดแข็ง อะไรคือโอกาส อะไรคือเรื่องที่ทำได้จริงและเป็นประโยชน์ และกล้าหาญตัดสินใจโดยไม่ลังเลทุ่มเททรัพยากรและขับเคลื่อนเรื่องนั้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

5.ขับเคลื่อนสังคม

การขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐให้กลายเป็น “Mass Movement” หรือการเคลื่อนไหวในสังคม เป็นหัวใจของการทำงานของกระทรวง อว. เพื่อทำให้นโยบายเป็นที่รับรู้ ได้รับการสนับสนุน และร่วมผลักดันโดยประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ร่วมกัน เนื่องจากการบริหารงานราชการให้ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน จำเป็นต้องสร้างการมีส่วนร่วมและดึงดูดความสนใจจากทุกภาคส่วนในสังคม เอนก เหล่าธรรมทัศน์จึงให้ความสำคัญกับการให้สัมภาษณ์สื่อด้วยตนเอง พร้อมอธิบายและตอบคำถามเพื่อให้สาส์นได้ถูกสื่อถึงประชาชน เพื่อสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจในเป้าหมายของนโยบายที่กำลังขับเคลื่อนในสังคม

6.การวิจัยแบบผู้นำ

การนำด้วยการทำวิจัยตลอดเวลา ด้วยการคิด วิเคราะห์ และประเมินผลว่ามีผู้สนใจนำเอานโยบายไปดำเนินการหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ต้องปรับเปลี่ยนและคิดหาวิธีใหม่

ความสามารถในการนำที่แตกต่างจากผู้นำทั่วไปของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ คือ การนำด้วยการวิจัย เขากล่าวว่า ผู้นำต้องทำ “วิจัย” ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเขาอยู่กระทรวง อว.จึงมาชวนกันทำวิจัย แต่การทำวิจัยคือ การคิด วิเคราะห์ ประเมินผล และคิด วิเคราะห์ ประเมินผล กลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหน้าที่ “รัฐมนตรี” ไม่มีที่ไหนสอน และแม้อ่านหรือศึกษาหลักการมาอย่างดี แต่ไม่เคยปฏิบัติ ก็จะนำได้ไม่ดี อาจจะหลงไปทำหน้าที่ผู้บริหารมากกว่าผู้นำ ฉะนั้น การนำแบบทำวิจัยทุกวัน คือ การคิด วิเคราะห์ ประเมินผลว่าเรานำแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่มีใครอยากตาม ต้องเปลี่ยนวิธีใหม่ ไม่ใช่ให้ไปคิด วิเคราะห์เรื่องการจัดการ และการบริหารงาน ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ของระดับผู้จัดการไปทำ

โดยสรุป ความสามารถในการนำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ใช้หลักการของการนำที่จำเป็น 6 ประการดังที่กล่าวข้างต้นนั้น สะท้อนถึงการประยุกต์หลักปรัชญาทางตะวันออกอยู่ไม่น้อย ในฐานะผู้นำกระทรวง อว.นั้น เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ไม่ได้เน้นแต่การเป็นผู้กำหนดทิศทางนโยบาย (Policy Maker) ซึ่งเป็นแนวทางหลักของการบริหารภาครัฐยุคสมัยใหม่ของตะวันตก แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการนำ แต่ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด เขามองว่า การนำแบบตะวันออกนั้นสำคัญกว่า การนำแบบตะวันออกที่ใช้นำ กระทรวง อว. คือ ผู้นำต้องคิดการใหญ่ ต้องเรียนรู้เรื่อง ยุทธศาสตร์ (Strategies) และยุทธวิธี (Tactics) คล้ายเป็นวิธีคิดของการทำศึกสงคราม ต้องมียุทธศาสตร์หรือวิธีที่รบแล้วชนะ โดยการเลือกสนามที่เราเหมาะสมและสามารถชนะได้ ต้องไม่สนใจปัญหา มองแต่ด้านบวก และช่วงชิงโอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เหมือนกับพระราชาในยุคสมัยต่างๆ ที่ต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อชัยชนะ ดังที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเลือกไม่รบกับตะวันตก แม้จะมีการคุกคามจากมหาอำนาจภายนอก แต่กลับใช้ยุทธวิธีทางการทูตและการปฏิรูปภายในเพื่อรักษาอำนาจและความมั่นคงของประเทศ ในทำนองเดียวกัน การชี้นำกระทรวง อว. ก็เช่นกัน ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องที่ทำแล้วสำเร็จ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ และเป็นกำลังใจแก่คนทำงาน

การนำกระทรวง อว. โดยยึดหลักการนำแบบการรบและการวางยุทธศาสตร์ ผสมผสานเข้ากับวิธีคิดแบบปรัชญาเต๋า ซึ่งมีอิทธิพลค่อนข้างมากต่อการคิดและการนำของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เพราะวิธีคิดของเต๋าเป็นการคิดที่ไม่ใช่การคิดแบบตรงไปข้างหน้าเสมอไป แต่จะมีการคิดกลับไปกลับมา และปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ เขานำมาปรับใช้ในการคิดนำกระทรวง อว. วิธีคิดที่สะท้อนจากปรัชญาเต๋า คือเขากล่าวว่า ประเทศที่มีความพร้อมน้อยก็สามารถชนะประเทศที่มีความพร้อมมากได้ การพัฒนางานแบบที่ไม่พร้อมก็สำเร็จได้ ไม่จำเป็นต้องรอพร้อมทุกอย่าง ด้วยการคิดเช่นนี้ ทำให้เขามีเทคนิค วิธีการ ทางเลี่ยง ทางลัดที่แตกต่างจากเดิม คิดจนทะลุกรอบ แต่ไม่ผิดระเบียบหรือขัดกับข้อกฎหมาย จนหาหนทางผลักดันนโยบายหรือโครงการต่างๆ ให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เปลี่ยนบทบาทจากนักวิชาการมาเป็นรัฐมนตรี เขาได้เรียนรู้ว่า การนำในโลกแห่งความจริงไม่ได้เหมือนกับการทำงานในห้องเรียนที่มีข้อจำกัดเต็มไปหมด แต่ความเป็นจริงสังคมเต็มไปด้วย “รู” ที่สามารถหาช่องได้มากมายในการทำงานให้สำเร็จ ซึ่งการเข้าใจตรงนี้ช่วยให้สามารถปรับตัวและเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น

ด้วยแนวคิดที่ผสมผสานระหว่างปรัชญาตะวันออกและการปฏิบัติในโลกแห่งความจริง เขาได้นำกระทรวง อว. ด้วยความตั้งใจที่จะเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด แม้ว่าสถานการณ์อาจไม่สมบูรณ์แบบ และมีข้อจำกัดต่างๆ ก็ตาม แต่การทำให้พร้อมมากขึ้นและใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์สามารถช่วยให้กระทรวง อว.ก้าวไปข้างหน้าได้

การนำด้วยปัญญา

การเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่แค่การมีความสามารถในการทำงานเพียงอย่างเดียว หรือมีภูมิหลังของการศึกษาเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “การนำด้วยปัญญา” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เชื่อมโยงทุกคุณสมบัติพื้นฐานของผู้นำและความสามารถของผู้นำเข้าด้วยกัน ทำให้การนำเกิดความสมดุล มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

การนำด้วยปัญญาคืออะไร

ปัญญาเป็นเรื่องของความเข้าใจ สัญชาตญาณ และความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งที่เห็นได้ชัด ปัญญาไม่ได้หมายความถึงความฉลาด ปัญญาในการเป็นผู้นำคือการเข้าใจในสิ่งที่ลงลึกของพฤติกรรมมนุษย์ ศิลปะที่ละเอียดอ่อนของการตัดสินใจ และความสามารถในการคาดการณ์ผลกระทบในระยะยาวของการกระทำในปัจจุบัน ซึ่งจะเกี่ยวกับการรู้ว่าเมื่อใดควรพูด เมื่อใดควรฟัง และเมื่อใดควรทำ

ผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุด ไม่ได้เป็นคนที่ประวัติการทำงานน่าประทับใจที่สุดหรือมีไอคิวสูงเสมอไป แต่เขาเหล่านั้นคือผู้นำที่มีคุณสมบัติหนึ่งที่มักถูกมองข้าม นั่นก็คือปัญญา ปัญญาในโลกแห่งการเป็นผู้นำนั้นเหนือกว่าความรู้หรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าผู้นำต้องมีความรู้ และความสามารถ แต่ผู้นำที่นำด้วยปัญญาจะมีความสามารถมากกว่า คือทำผิดพลาดน้อยกว่า และถูกทำให้ไขว้เขวได้ยากกว่า ปัญญาจึงเป็นประภาคารที่ส่องประกายท่ามกลางความไม่แน่นอน และช่วยให้ผู้นำสามารถนำทางด้วยความชัดเจนท่ามกลางความซับซ้อน

ปัญญาไม่ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วหรือง่ายดาย แต่พบได้ทั่วไปในผู้ที่แสวงหาปัญญา ผู้นำที่ดีรู้ว่าการยอมรับความผิดพลาดนั้นจำเป็น และเป็นสัญญาณของผู้นำที่ดี อย่างไรก็ตามปัญญาไม่ได้หมายความว่ารู้ทุกอย่าง ผู้นำต้องยอมรับกับตัวเองและผู้อื่นว่าตนเองไม่ได้มีคำตอบทั้งหมด การพัฒนาปัญญาไม่ได้หมายความว่าเราหยุดสะสมความรู้และการเรียนรู้จากประสบการณ์ ในทางตรงกันข้ามปัญญาจะเติมเชื้อเพลิงให้กับผู้แสวงหาปัญญาได้นำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ที่สุด

ดังนั้น เส้นทางสู่ปัญญาหรือวิธีการได้มาซึ่งปัญญานั้น ปัญญาเกิดจากการไตร่ตรองถึงประสบการณ์ ความสำเร็จ และความล้มเหลวในอดีต ผู้นำที่คิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนและมองผ่านเลนส์ของจุดมุ่งหมายและคุณค่าของตน จะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ไม่สามารถเห็นได้จากตัวข้อมูลและความรู้เพียงอย่างเดียว ปัญญาจึงเกี่ยวข้องกับการที่จะก้าวเดินอย่างกล้าหาญเมื่อสถานการณ์เรียกร้อง ในทางกลับกัน ปัญญายังหมายถึงการรู้จักยับยั้งชั่งใจเมื่อสถานการณ์เรียกร้องความอดทนและการไตร่ตรองเพิ่มเติม

การนำด้วยปัญญาแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์

“การนำด้วยปัญญา” เป็นสิ่งที่อธิบายยาก และไม่มีหลักสูตรไหนสอนอย่างชัดเจน เพราะปัญญาไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้ หรือทักษะบริหารจัดการ แต่เป็น “วิจารณญาณ” ในการนำและตัดสินใจ ซึ่งต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ การปฏิบัติ การสังเกต การทบทวน และการเรียนรู้จากชีวิต “การนำด้วยปัญญา” มีส่วนทำให้การนำของเอนก เหล่าธรรมทัศน์มีความโดดเด่น

การนำด้วยปัญญาแบบของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ คือการนำที่ทำให้เกิดความสมดุลและสามารถทำให้บรรลุผลสำเร็จไปพร้อมกัน ผู้นำบางคนสามารถสร้างความสำเร็จได้ แต่ขาดความสมดุล ขณะที่บางคนอาจมีความสมดุล แต่ไม่สามารถผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ หากต้องการเป็นผู้นำที่มีปัญญา ต้องสามารถทำให้เกิดทั้งสองสิ่งไปพร้อมกัน “นำได้อย่างสมดุล และนำให้สำเร็จ”

การที่จะนำด้วยปัญญาได้นั้น ต้องผ่านการปฏิบัติและเรียนรู้จากประสบการณ์ ไม่ใช่เพียงแค่อ่านหรือศึกษาจากตำรา นักวิชาการหลายคนมีความรู้ลึกซึ้งในทฤษฎี แต่เมื่อถึงเวลาต้องเป็นผู้นำจริงกลับไม่สามารถนำองค์กรได้ เพราะขาดประสบการณ์ในการลงมือทำ การสะสมประสบการณ์ในการเผชิญปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ คือสิ่งที่หล่อหลอมให้เกิด “ปัญญาของผู้นำ” อย่างแท้จริง

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ไม่ได้ใช้เพียงความรู้หรือความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเท่านั้นในการบริหารและขับเคลื่อนงาน เขาได้ใช้ปัญญาเป็นแนวทางในการนำอยู่เสมอ ผสมผสานระหว่างการทบทวนตนเอง การปฏิบัติตามหลักจริยธรรม มีความมุ่งมั่นต่อค่านิยมและจุดมุ่งหมายหลักของตนเอง และมองไปไกลกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและเข้าใจถึงผลที่ตามมาในระยะยาวของการกระทำ จึงขอสรุปแนวทางการนำด้วยปัญญาแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ดังนี้

  • การใช้วิจารณญาณทางคุณธรรมและจริยธรรม

การนำด้วยปัญญาของผู้นำ คือ ผู้นำที่ฝึกฝนการใช้วิจารณญาณที่ถูกต้องและเหมาะสม ผู้นำที่ดีจึงหมายถึงผู้ที่ยึดมั่นในคุณธรรม ศีลธรรม และมีจริยธรรมกำกับในการทำงาน การเป็นผู้นำไม่ใช่การใช้ตำแหน่งเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว แต่คือการใช้ตำแหน่งเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรและประเทศชาติ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ยึดถือแนวทางที่ว่า การทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ใช่โอกาสในการสะสมอำนาจหรือผลประโยชน์ส่วนตัว ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หน้าที่รัฐมนตรีต้อง “ให้” ไม่ใช่ “เอา” ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่จะทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ไม่ควรมีความโลภเพื่อหา “เงินทอน” จากตำแหน่ง หากผู้นำยึดมั่นในจริยธรรม คนทำงานในองค์กรก็จะได้รับแรงบันดาลใจในการทำงานอย่างซื่อสัตย์เช่นกัน เขากล่าวกับทีมงานเสมอว่า “เมื่อตนเองมีโอกาสได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว มีอำนาจแล้ว เราต้องไม่ใช้ตำแหน่งเพื่อตัวเอง แต่ต้องใช้ตำแหน่งเพื่อให้ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้า”

การยึดมั่นในคุณธรรมของเขาสอดคล้องกับปรัชญาขงจื่อที่เชื่อว่าผู้นำต้องมีคุณธรรมและการปกครองที่มีจริยธรรม โดยถือว่าการบริหารประเทศเป็นภารกิจทางคุณธรรม ไม่ใช่เพียงการแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือหลักการที่ยึดถือในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งต้องไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนเหนือส่วนรวม เชื่อและยึดมั่นในจริยธรรมและคุณธรรม

แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับหลักการปกครองตามแนวทางของศาสนา โดยมองว่าการปกครองด้วยรูปแบบใดนั้นไม่ได้มีความสำคัญ แก่นแท้ของการปกครองที่ดีไม่ได้อยู่ที่ระบบ แต่อยู่ที่ “ธรรมะ” ของผู้นำ หากผู้นำมีธรรมกำกับเป็นหลักแล้ว ไม่ว่าจะมาจากระบอบใด นั่นย่อมเป็นการปกครองที่ดีและชอบธรรม ดังนั้น การเป็นผู้นำตามแนวพุทธต้องยึดหลัก “ธรรมาธิปไตย” เพื่อให้สังคมดำเนินไปสู่ความสงบสุขและความเป็นธรรม ผู้นำที่มีคุณธรรมจะสามารถนำพาสังคมไปสู่หนทางที่ถูกต้อง โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจหรือความเห็นแก่ตัว

  • 2. ความตั้งใจและมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

ผู้นำที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงการมีอำนาจหรืออิทธิพลเหนือผู้คน แต่คือ พลังแห่งความมุ่งมั่นและความหลงใหล (Passion) ในการทำงาน เอนก เหล่าธรรมทัศน์เชื่อว่างานที่ยิ่งใหญ่ต้องเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีและเป็นไปได้ ไม่ใช่จากข้อจำกัดด้านงบประมาณ การบริหารประเทศไม่ควรเริ่มจากคำถามว่า “เรามีงบเท่าไหร่” แต่ควรเริ่มจากคำถามว่า “อะไรคือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ประเทศเดินหน้า” เพราะเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน มี Passion ที่แน่วแน่ งบประมาณหรือทรัพยากรที่ขาดแคลนจะไม่ใช่อุปสรรค แต่จะกลายเป็นสิ่งที่สามารถจัดหามาได้ การทำงานด้วย Passion ทำให้เขาเป็นรัฐมนตรีที่ทำงานหนัก เพราะเมื่อเราหลงใหลในสิ่งที่ทำ เราจะมีพลังที่จะทำให้สำเร็จ นี่คือพลังขับเคลื่อนที่ทำให้เขาสามารถผลักดันนโยบายและโครงการสำคัญหลายโครงการได้สำเร็จ ทั้งในด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่กล่าวแล้วในบทต้นๆ แม้บางครั้งจะเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการก็ตาม

พลังแห่งความมุ่งมั่นและความหลงใหลในการทำงานของผู้นำ ควรมาพร้อมกับความมั่นใจในตัวเอง เมื่อมีโอกาสเป็นผู้นำแล้ว ต้องมีความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถนำพาทีมงานไปสู่ความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการหรือภารกิจใดก็ตาม ผู้นำต้องท่องไว้ตลอดว่าต้องนำคน “ให้สำเร็จ สำเร็จ และสำเร็จ” ถ้านำแล้วไม่สำเร็จอะไรเลย คนก็ไม่ตาม สิ่งสำคัญมากสำหรับผู้นำ ต้องเป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จ นำให้ชนะ ผู้นำที่ดีต้องตั้งเป้าหมายให้สำเร็จ และมุ่งมั่นทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ที่ผ่านมา ผู้นำในองค์กรภาครัฐ จะพบว่าหลายครั้งที่ผู้นำเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วกลับเลือกที่จะทำงานในกรอบที่ปลอดภัย (Safe Zone) ไม่กล้าเสี่ยง ไม่ริเริ่มโครงการใหญ่หรือโครงการใหม่ เพราะคิดว่าเมื่อหมดวาระก็สามารถกลับไปทำงานในตำแหน่งเดิม หรือไปทำงานด้านอื่นได้ ทำให้ขาดพลังในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

เอนก เหล่าธรรมทัศน์มองว่า ผู้นำ โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรี ต้องตระหนักว่านี่คือตำแหน่งที่สำคัญและอาจเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางการทำงาน จึงต้องทำงานให้เต็มที่ ทำด้วยความทุ่มเท ไม่ใช่ทำไปเรื่อย ๆ หรือทำเพียงให้ผ่านไปวัน ๆ แนวคิดนี้ช่วยให้ผู้นำสามารถกล้าตัดสินใจและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้

เหนือสิ่งอื่นใด ผู้นำที่เข้ามานำหน่วยงานของภาครัฐ ต้องมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยพัฒนาได้ เขาพยายามสื่อสารกับทุกเวทีเสมอว่า “ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ล้าหลัง แต่เป็นประเทศที่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้” เขาเชื่อว่าหนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่เรื่องงบประมาณ เทคโนโลยี หรือทรัพยากรเพียงอย่างเดียว แต่คือทัศนคติที่ดูถูกตัวเองของคนในชาติ เขามองว่า ประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีมาตั้งแต่อดีต ประวัติศาสตร์ของไทยเต็มไปด้วยเรื่องราวของความสามารถในการเอาตัวรอด การปรับตัว และการสร้างชาติอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไทยก็ยังเป็นประเทศที่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ และในอนาคตไทยก็ยังสามารถพัฒนาได้อีกไกล

เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ประเทศพัฒนาก็คือ ผู้นำต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ เขามองว่า “ถ้าผู้นำไม่เชื่อมั่นในประเทศ ก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาประเทศได้” เพราะผู้นำเป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กร สังคมและประเทศชาติ ถ้าผู้นำมองว่าประเทศไทยเป็นเพียงประเทศที่ต้องตามหลังคนอื่นเสมอ ก็จะทำให้ยุทธศาสตร์ของประเทศเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าคิดใหญ่ และสุดท้าย ข้าราชการก็จะทำงานเพียงเพื่อบรรลุตัวชี้วัดเล็ก ๆ โดยขาดเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง

  • การใช้สัญชาตญาณในการนำ

การนำด้วยปัญญาแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ไม่ได้ซับซ้อนหรือยากเกินเข้าใจ แต่มักมาจากหลักคิดที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ เช่น การใช้สัญชาตญาณในการนำ ในการเป็นผู้นำ ไม่ใช่ทุกการตัดสินใจจะมาจากข้อมูลหรือการวิเคราะห์ที่รอบคอบเสมอไป หลายครั้ง “ปัญญาของผู้นำ” เกิดจาก สัญชาตญาณ หรือ สามัญสำนึก (Common Sense) ที่ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ในสถานการณ์ที่อาจจะไม่เคยเจอมาก่อน

สำหรับเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สัญชาตญาณเป็นส่วนสำคัญในการนำของเขา การรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์และการตัดสินใจอย่างต่อเนื่อง บางเรื่องหากซับซ้อนและใช้เวลานานเกินไป ก็จะประเมินว่าคุ้มค่ากับการลงมือทำหรือไม่ หากโอกาสสำเร็จมีน้อย ก็จะมองหาทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้แทน เขาเชื่อว่า การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่าต้องรู้ทุกเรื่องหรือทำทุกอย่างถูกต้องเสมอไป บางครั้งการตัดสินใจที่ดีที่สุดเกิดจาก “สัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาแล้ว” ผู้นำที่มีประสบการณ์ยาวนานจะสามารถพัฒนาความรู้สึกภายใน (Sense) ว่าอะไรควรเดินหน้า อะไรควรถอย และอะไรคือโอกาสที่ควรคว้าไว้

เมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เขามีสัญชาตญาณที่ว่า “ต้องสำเร็จ ต้องชนะ” อยู่เสมอ เพราะเชื่อว่าความสำเร็จคือหัวใจของความเป็นผู้นำ หากผู้นำตัดสินใจแล้วไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ซ้ำๆ ความเป็นผู้นำจะค่อย ๆ ลดลง ดังนั้น เขาจึงเลือกทำเฉพาะสิ่งที่รู้ว่ามีโอกาสสำเร็จจริง สัญชาตญาณของผู้นำ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะบางครั้งเราไม่ได้คิดแบบปรัชญาอยู่ตลอด บางครั้งเราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเลือกเส้นทางหนึ่ง แต่ความรู้สึกข้างในบอกเราว่ามันคือทางที่ถูกต้อง และเมื่อเราตัดสินใจเดินไปแล้ว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าสัญชาตญาณนั้นแม่นยำแค่ไหน ผู้นำที่ดีต้องกล้าฟังสัญชาตญาณของตัวเอง และใช้มันอย่างชาญฉลาดในการนำเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

จากขั้วหัวใจ ‘ฮุน เซน’

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ดารา..พ่อค้า-แม่ขาย

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘ฟ้องดะ’

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘อิ๊งค์’ควงฉัตรชัยแก้ต่างศาล

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

จับตา! ทนายอั๋น เผย หลวงพ่อคนดัง ส่งเงินให้นักการเมืองสีน้ำเงิน เพราะไม่อยากให้เงินอยู่ในระบบวัด

BRIGHTTV.CO.TH

ทรัมป์เรียกร้องกรรมการเฟดฉ้อโกงเงินกู้ซื้อบ้าน ลาออก

JS100

กลาโหมยิวอนุมัติแผนยึดครองกาซาซิตี้ สั่งระดมกองหนุนเพิ่มขึ้นอีก60,000นาย

Manager Online

เช็กพิกัด ไฟฟ้าดับวันนี้ พื้นที่ กทม.- นนทบุรี 21-22 ส.ค. 68

ฐานเศรษฐกิจ

สภาพอากาศวันนี้ -26 ส.ค.ภาคตะวันออกและใต้ฝนตกหนักมากบางแห่ง -ไทยฝนเพิ่ม

ฐานเศรษฐกิจ

อุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ชนกับรถบัส กลางถนนพระราม 2 มีผู้เสียชีวิตชาย 1 ราย

สวพ.FM91

เกาะเชจู ออกคู่มือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ฝ่าฝืนอาจถูกปรับ

JS100

ประวัติ "เจ๊ไฝ" เชฟมิชลินสตาร์ ไข่เจียวปูในตำนาน เปิดราคาอาหารร้านเจ๊ไฝล่าสุด

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...