โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ศาลตีความมาตรา 112 ขยายขอบเขตเอาผิดการหมิ่นสถาบันที่ไม่ใช่ตัวบุคคล (ในบางคดี)

iLaw

อัพเดต 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • iLaw

คดีมาตรา 112 หรือคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยปี 2563-2568 เป็นยุคที่จำนวนคดีพุ่งสูงมากที่สุด เมื่อเดินทางมาถึงวันที่ศาลต้องมีคำพิพากษา แม้แนวโน้มคดีส่วนใหญ่ศาลจะวางอัตราโทษน้อยลง ส่วนใหญ่อยู่ที่จำคุกสามปีต่อหนึ่งการกระทำ และมีหลายสิบคดีที่ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดโดยยังให้ “รอลงอาญา” แต่คำพิพากษาของศาลในยุคนี้กลับมีแนวโน้มการตีความตัวบทให้ขยายออกไปอีกเรื่อยๆ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า

“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

จากตัวบทของมาตรา 112 เห็นได้ชัดว่า มาตรานี้กำหนดให้เอาผิดกับการกระทำสามประการ คือ

1. ดูหมิ่น

2. หมิ่นประมาท

3. แสดงความอาฆาตมาดร้าย

การกระทำที่จะเป็นความผิด ต้องเป็นการกระทำต่อบุคคลที่มาตรานี้มุ่งคุ้มครอง ซึ่งเป็นการคุ้มครอง “ตำแหน่ง” ที่สำคัญของประเทศและการกระทำต่อตำแหน่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศ กฎหมายไม่ได้คุ้มครองตัวบุคคล และชัดเจนว่า มีสี่ตำแหน่งที่ได้รับความคุ้มครอง ได้แก่

1. พระมหากษัตริย์

2. พระราชินี

3. รัชทายาท

4. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

หมิ่นสถาบันที่เป็นองค์กรไม่ได้หมิ่นบุคคลผิดไหม?

ตามหลักการเบื้องต้นในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 การกระทำใดที่จะเป็นความผิดและถูกลงโทษได้ ต้องเป็นการกระทำที่มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นความผิด และการใช้การตีความกฎหมายอาญาต้อง “ตีความอย่างเคร่งครัด”หมายความว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดได้ต้องเข้าองค์ประกอบตามที่กฎหมายเขียนไว้จริงๆ เท่านั้น จะขยายความเกินเลยไปจากตัวบทเพื่อเอาผิดต่อบุคคลที่ไม่ได้ทำความผิดไม่ได้ หากไม่ยึดถือหลักการนี้แล้วประชาชนจะไม่สามารถรู้ได้ว่า ขอบเขตสิทธิเสรีภาพของตัวเองเป็นอย่างไร และหากปล่อยให้เกิดการตีความกว้างขวางก็อาจเปิดช่องให้รัฐใช้บังคับกฎหมายเพื่อรังแกหรือเอาเปรียบประชาชนได้

หากยึดการตีความตามตัวบทโดยเคร่งครัด มาตรา 112 คุ้มครองบุคคลสี่ตำแหน่ง ซึ่งต้องคุ้มครองบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งนั้นๆ ในขณะเวลาที่การกระทำความผิดเกิดขึ้นเท่านั้นคือ คุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์ปัจจุบันเท่านั้น ในช่วงเวลาที่ประเทศยังไม่มีรัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่มีบุคคลที่มาตรา 112 คุ้มครองอยู่ในขณะนั้น เพื่อคุ้มครองพระเกียรติยศของตำแหน่งสำคัญต่อประเทศ

โดยหลักการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดแล้วจะขยายความไปเอาผิดกับการกล่าวถึงบุคคลอื่นๆ ในสถาบันพระมหากษัตริย์นอกเหนือจากสี่ตำแหน่งที่กฎหมายเขียนคุ้มครองไว้ หรือการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์ไม่ได้ หรือจะตีความให้ครอบคลุมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะที่เป็นองค์กร โดยไม่ได้มีการระบุเจาะจงตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ได้

คำว่า “หมิ่นสถาบันฯ” บางครั้งถูกใช้เป็นชื่อเล่นสำหรับเรียกความผิดตามมาตรา 112 อย่างย่อเพื่อให้เกิดความเข้าใจ แต่ตามตัวบทกฎหมายแล้ว การหมิ่นสถาบันในฐานะที่เป็นองค์กรไม่ได้เป็นความผิด

วิธีการเขียนมาตรา 112 เปรียบเทียบได้ชัดเจนกับความผิดอื่น เช่น มาตรา 198 ฐานดูหมิ่นศาล เขียนไว้ว่า “ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี …" ซึ่งช่วยให้ชัดเจนว่า มาตรา 198 มุ่งคุ้มครองทั้งศาลและผู้พิพากษา การดูหมิ่นตัวบุคคลที่เป็นผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่อยู่แบบเฉพาะเจาะจงบุคคล หรือการดูหมิ่นศาลในฐานะที่เป็นตัวองค์กร ก็เป็นความผิดเท่ากัน แต่มาตรา 112 เขียนคุ้มครองเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น ไม่ได้คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นองค์กรด้วย

คดีหมิ่นสถาบันยุคปี 2563-2568

1. มีชัย ตั้งคำถามการใช้งบประมาณของสถาบัน

มีชัย อดีตพนักงานโรงแรมที่เกาะช้าง ถูกกล่าวหาในคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จาการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กสองข้อความ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 มีเนื้อหาตั้งคำถามต่อการใช้ภาษีประชาชนของสถาบันกษัตริย์ฯ คดีของมีชัยต่อสู้จนถึงชั้นอุทธรณ์ เนื่องจากไม่มีผู้พิพากษารับรองให้ยื่นคดีต่อศาลฎีกา ทำให้คดีสิ้นสุด

วันที่ 27 กันยายน 2566 ศาลจังหวัดสมุทปราการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่จำเลยต่อสู้ว่า ข้อความของจำเลยกล่าวถึง ‘สถาบันกษัตริย์’ ไม่ได้เจาะจงถึงบุคคลใดคนหนึ่ง หรือพระมหากษัตริย์ และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ประเทศเราเป็นระบบการค้าเสรี การที่จำเลยพูดเรื่องการผูกขาดการค้านั้น ย่อมเกี่ยวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือนิติบุคคล ซึ่งคำพูดของจำเลยมีนัยสื่อว่า มีการใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เกิดความเกลียดชังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง 2 ข้อความของจำเลย มีคำว่า “กษัตริย์” ระบุอยู่ด้วย ประชาชนทั่วไปที่อ่านจะสามารถเข้าใจได้ว่า สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลที่จำเลยโพสต์แสดงความคิดเห็นนั้นไม่เป็นความจริง ก่อให้เกิดความเกลียดชังและความเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา

2. ทิวากร กรณีขายเสื้อ #เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว

ทิวากร อดีตวิศวกรชาวขอนแก่น ถูกฟ้องในคดีมาตรา 112 และ 116 จากการกระทำสามครั้ง ดังนี้

  • ระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2563 – 27 กุมภาพันธ์ 2564 ทิวากรได้โพสต์รูปตนเองสวมเสื้อคอกลมสีขาว มีข้อความสกรีนตัวหนังสือสีแดงว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” จากโพสต์ดังกล่าว พนักงานสอบสวนเริ่มต้นคดีโดยแจ้งข้อหาฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 แต่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องมาตรา 112 เพิ่มด้วย

  • 2) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ทิวากรโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า หากพระมหากษัตริย์นำมาตรา 112 มาใช้ อาจทำให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน

  • 3) เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ทิวากรโพสต์ข้อความเรียกร้องให้สถาบันพระมหากษัตริย์ปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังด้วยมาตรา 112

คดีนี้วันที่ 29 กันยายน 2565 ศาลจังหวัดขอนแก่นเคยพิพากษายกฟ้องในข้อหามาตรา 112 มาก่อน โดยให้เหตุผลว่า จำเลยโพสต์ภาพและข้อความดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงบุคคลที่ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทให้รู้ได้แน่นอนว่าเป็นองค์พระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ มิใช่การยืนยันข้อเท็จจริง ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงไม่ใช่การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์

ต่อมา 14 สิงหาคม 2567 ศาลจังหวัดขอนแก่นนัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้แก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี โดยยกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 116 ทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจําคุกกระทงละ 2 ปี รวมจําคุก 6 ปี ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า แม้รูปภาพและข้อความที่จําเลยโพสต์ จําเลยจะใช้ถ้อยคําว่า “สถาบันกษัตริย์” แต่ถ้อยคําดังกล่าวเป็นนามธรรม วิญญูชนทั่วไปซึ่งได้พบเห็นรูปภาพและข้อความที่จําเลยโพสต์สามารถเข้าใจได้ว่ามุ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันหรือไม่ คดีนี้จําเลยเบิกความรับว่า คําว่า สถาบันกษัตริย์ ที่จําเลยพูดถึงนั้นหมายถึง พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พระบรมวงศานุวงศ์องค์ปัจจุบัน องคมนตรี ประธานองคมนตรี ราชเลขานุการ ราชองครักษ์ระดับสูง ยังปรากฏว่าจําเลยมีการโพสต์ข้อความชักชวนให้คนมาซื้อเสื้อที่มีข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจําเลยมีเจตนาสบประมาท ลดคุณค่าพระเกียรติยศ อันเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบัน

3. ธนกร ปราศรัยถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใน #ม็อบ6ธันวา

ธนกร หรือเพชร ขณะเกิดเหตุอายุ 17 ปี เป็นนักเรียนอาชีวะและเป็นคนที่เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองอยู่ประจำ ถูกกล่าวหาว่า หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการปราศรัยเรื่องระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และกรณีที่กษัตริย์เซ็นรับรองการรัฐประหารในการชุมนุมที่วงเวียนใหญ่ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2563

ต่อมาในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คำพิพากษาโดยสรุปเห็นว่า แม้คำปราศรัยของจำเลยจะไม่ได้มีการกล่าวถึงพระนามของกษัตริย์พระองค์ใด แต่เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ได้คุ้มครองแค่กษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คุ้มครองทั้งสถาบันกษัตริย์ ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี ไม่รอลงอาญา

4. พอร์ท-ไฟเย็น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากโพสต์เฟซบุ๊กสามข้อความ

พอร์ท ไฟเย็น หรือ ปริญญา ชีวินกุลปฐม ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการโพสต์เฟซบุ๊กสามข้อความ มีข้อความที่วิจารณ์สถาบันกษัตริย์สองโพสต์ และกล่าวถึงการเซ็นรับรองรัฐประหารของกษัตริย์ต่อกรณีรัฐประหารในประเทศตุรกีอีกหนึ่งโพสต์

23 มกราคม 2568ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการจาบจ้วงและมิบังควร นอกจากนี้ยังมีพยานปากประชาชนทั่วไปที่ได้ให้ความเห็นไว้ว่าเป็นการใส่ร้าย ไม่เป็นความจริง โดยพระมหากษัตริย์มีสถานะเป็นพระประมุขของประเทศ ประชาชนต้องให้การเคารพ เทิดทูน และไม่ใช่สิ่งงมงาย ข้อความที่ 2 ตามฟ้อง เรื่องการเซ็นรับรองรัฐประหารนั้น พยานเห็นว่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดและการเป็นโยนความผิดให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนข้อความที่ 3 ตามฟ้อง เรื่องเนื้อเพลงสถาบันกากสัส พยานเห็นว่าเป็นการใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์อย่างชัดเจน ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นนี้เห็นว่าการกระทำของจำเลยทำให้กษัตริย์ รัชกาลที่ 10 เกิดความเสื่อมเสีย ทำให้ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง

นอกจากนี้ ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันที่ครองราชย์อยู่ และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศด้วย เพราะอดีตกษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระราชบิดาของกษัตริย์ รัชกาลที่ 10 ศาลอุทธรณ์จึงมีคำพิพากษายืนให้จำคุกหกปี ตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นพ้องแล้วกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

5. สุปรียา แขวนป้ายผ้า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน”

สุปรียา ใจแก้ว นักศึกษาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และสมาชิกกลุ่มเชียงรายปลดแอก ถูกจับกุมในข้อหาตาม มาตรา 112, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ โดยเธอไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน จากการที่ตำรวจฝ่ายสืบ สภ.เมืองเชียงราย กล่าวหาว่า เธอนำป้ายผ้าข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปแขวนไว้บริเวณป้าย “ทรงพระเจริญ” ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ในตัวเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 และโพสต์ภาพป้ายดังกล่าวในเพจ "เชียงรายปลดแอก"

28 ธันวาคม 2566ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษายกฟ้อง เห็นว่า ข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” คำว่า “สถาบัน” เป็นคำกลางๆ ไม่ชัดเจน ซึ่งจะต้องมีคำให้ครบถ้วนจึงจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงสถาบันใด แต่การนำป้ายผ้าดังกล่าวไปติดไว้บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 จึงถือได้ว่าหมายความถึงงบสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่จะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือไม่นั้น ศาลจะต้องพิจารณาจากภววิสัยตามวิญญูชน ใจความของข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และการจัดการงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการใส่ความหรือให้ร้ายพระมหากษัตริย์

ต่อมา 14 สิงหาคม 2568 ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา โดยเห็นว่า ป้ายที่จำเลยนำไปแขวน จงใจเลือกสถานที่บริเวณใต้ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ที่มีข้อความ “ทรงพระเจริญ” เมื่อพิจารณาบริบทดังกล่าวย่อมแสดงเจตนาของผู้กระทำว่าสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ อันมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นศูนย์รวมความจงรักภักดี เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพรักเทิดทูนอย่างสูงของประชาชนชาวไทย ข้อความเปรียบเทียบดังกล่าว จึงเป็นการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจว่างบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่างบที่จัดสรรเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน การกระทำเช่นนี้ย่อมมีลักษณะของการเปรียบเทียบในการลดทอนคุณค่า โดยอาศัยบริบทของสถานการณ์สังคมและอารมณ์ของประชาชน เพื่อสื่อสารชี้นำหรือยั่วยุให้เกิดความไม่พอใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทางอ้อม อันมีลักษณะบั่นทอนความน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความพระมหากษัตริย์ อีกทั้งด้อยค่าองค์พระมหากษัตริย์ด้วย จึงเห็นว่ามีความผิดตามมาตรา 112 พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุก 3 ปี ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 5 ปี และให้ริบป้ายผ้าของกลาง

หมิ่น ‘สถาบัน’ จะผิดเมื่อศาลโยงถึงกษัตริย์

เมื่อพิจารณาคำพิพากษาคดีหมิ่นสถาบันในช่วงห้าปีที่ผ่านมา พบว่าศาลมีแนวโน้มที่จะตีความมาตรา 112 กว้างเกินไปจากตัวบทที่บัญญัติไว้ โดยตัวบทระบุชัดเจนว่าความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดจะต้องกระทำต่อ “พระมหากษัตริย์, พระราชินี, รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติ ศาลได้ขยายขอบเขตของการตีความไปสู่ถ้อยคำหรือการกระทำที่ไม่ได้เอ่ยถึงบุคคลตามที่กฎหมายบัญญัติคุ้มครองไว้โดยตรง หากแต่ใช้การ “อนุมาน” จากพฤติการณ์แวดล้อมหรือความหมายเชิงนามธรรมของคำว่า “สถาบัน” จนทำให้การตีความกฎหมายกว้างออกไปจากตัวบท

แนวทางการให้คำอธิบายของศาลเพื่อพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 112 สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  • อธิบายว่า “สถาบัน” หมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
    ศาลอาศัยพฤติการณ์แวดล้อมเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงถ้อยคำที่ไม่เจาะจง เช่น “สถาบัน” หรือ “สถาบันกษัตริย์” ให้หมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน และจึงลงโทษด้วยมาตรา 112 ฐานะที่เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น คดีทิวากร ที่สวมเสื้อข้อความ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” ศาลก็อาศัยการเชื่อมโยงจากโพสต์อื่นและคำให้การของจำเลยเพื่อตีความว่าเป็นการสื่อถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันโดยตรง หรือคดีของมีชัย ที่ศาลอธิบายว่า ข้อความของเขาประชาชนทั่วไปที่อ่านจะสามารถเข้าใจได้ว่า สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 และก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน

  • การตีความขยายมาตรา 112 ให้คุ้มครอง “สถาบัน” ในเชิงนามธรรม ไม่จำกัดแค่บุคคล

ในบางคดีศาลตีความว่ามาตรา 112 มีเจตนารมณ์คุ้มครอง “สถาบันกษัตริย์” อย่างเป็นองค์รวม มิได้คุ้มครองเพียงกษัตริยืองค์ใดองค์หนึ่ง และไม่จำกัดเพียงตัวบุคคลที่กฎหมายระบุ ตัวอย่างเช่น คดีของธนกร ที่ปราศรัยโจมตีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการกระทบต่อสถาบันกษัตริย์โดยตรง แม้จะไม่กล่าวถึงพระมหากษัตริย์องค์ใดก็ตาม ในทำนองเดียวกัน คดีของสุปรียาที่แขวนป้ายข้อความ “งบสถาบันฯ > งบเยียวยาประชาชน” ศาลอุทธรณ์ตีความว่า แม้ข้อความจะไม่เอ่ยชื่อบุคคล แต่การแขวนป้ายใต้พระบรมฉายาลักษณ์และในช่วงเวลาที่สังคมถกเถียงเรื่องงบประมาณสถาบัน เป็นการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจว่างบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่างบที่จัดสรรเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน มีลักษณะของการเปรียบเทียบในการลดทอนคุณค่าของสถาบัน และเป็นความผิด

สรุป การตีความของศาลในคดีหมิ่นสถาบันฯ โดยไม่ระบุเจาะจงว่าเป็นตัวบุคคลใด แสดงให้เห็นถึงการขยายความคุ้มครองของมาตรา 112 อย่างกว้างขวาง ทั้งในเชิงการโยงถ้อยคำทั่วไปให้หมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน การครอบคลุมไปถึงพระมหากษัตริย์ในอดีต ตลอดจนการยกเอาความหมายเชิงนามธรรมของคำว่า “สถาบันกษัตริย์” มารวมอยู่ในขอบเขตการคุ้มครอง

ยกตัวอย่างคำพิพากษากรณีหมิ่นสถาบันที่ไม่ได้ขยายความเกินจำเป็น

แม้คดีตามมาตรา 112 ในช่วงปี 2563–2568 ที่ศาลยกฟ้องส่วนใหญ่จะมาจากเหตุผลด้านพยานหลักฐาน แต่ก็มีบางกรณีที่ศาลวินิจฉัยโดยตีความตัวบทอย่างเคร่งครัดว่า การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด ตัวอย่างเช่นคดี “ป้ายผ้าลำปาง”, คดีของ ฮ่องเต้ และคดีของ “ปีเตอร์” ที่ศาลเห็นตรงกันว่าข้อกล่าวหาไม่เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 112 จึงพิพากษายกฟ้อง

1. ป้ายผ้าลำปาง

ประชาชนรวม 5 คน แขวนป้ายที่มีข้อความ “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” บริเวณสะพานรัษฎาภิเศก เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ที่ถูกฟ้องด้วยข้อหาหลักตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

30 มกราคม 2567 ศาลจังหวัดลำปางนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการของพระมหากษัตริย์ อันประกอบด้วยบุคคลากรหลายฝ่ายที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในฐานะต่างๆ แม้ข้อความดังกล่าวจะมีการพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ไม่ได้หมายถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ และเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เชิงตำหนิรัฐบาลเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินที่ไม่เป็นธรรม แทนที่จะนำเอามาดูแลสุขภาพของประชาชนให้มาก ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงเจาะจงว่า หมายถึงพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำความผิดฐานนี้

2. ฮ่องเต้ อ่านแถลงการณ์และปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ฮ่องเต้ ธนาธร วิทยเบญจางค์ บัณฑิตวัย 24 ปี จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ถูกฟ้องในคดีมาตรา 112 และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหตุจากกรณีอ่านแถลงการณ์และปราศรัยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ระหว่างกิจกรรมคาร์ม็อบเชียงใหม่ ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2564 ต่อมา 21 สิงหาคม 2566ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดฟังคำพิพากษา ศาลเห็นว่าคำว่า “สถาบันกษัตริย์” ในแถลงการณ์ดังกล่าว ไม่ได้ระบุเจาะจงถึงตัวบุคคลหรือองค์พระมหากษัตริย์ ยังไม่ชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนากล่าวถึงองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้องในกระทงความผิดนี้ อย่างไรก็ดีคดีนี้ฮ่องเต้ยังถูกฟ้องจากการปราศรัยที่มีถ้อยคำหยาบคายด้วย ศาลจึงพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 1 ปี 7 เดือน

3. “ปีเตอร์” ขึ้นปราศรัยครั้งแรก อวยยศ “ฟูฟู” – งบสถาบันกษัตริย์

“ปีเตอร์” พ่อค้าออนไลน์วัย 27 ปี ถูกฟ้องมาตรา 112 จากการเข้าร่วมชุมนุม “กฐินราษฎร์ตลาดหลวง” เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 และขึ้นปราศรัยถึงการพระราชทานยศให้ “ฟูฟู” สุนัขทรงเลี้ยง และงบสถาบันกษัตริย์

29 สิงหาคม 2566 ศาลจังหวัดอุดรธานีพิพากษายกฟ้อง ศาลเห็นว่า ถ้อยคําที่จําเลยพูดปราศรัยทั้งเรื่องสุนัขทรงเลี้ยงฟูฟูและเรื่องงบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นหรือไม่ จําต้องพิจารณาตามความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆ ไปเป็นเกณฑ์ การเข้าใจถ้อยคําดังกล่าวย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจรวมถึงการตีความของแต่ละบุคคลที่อาจแตกต่างกัน ดังนั้น จึงต้องถือว่าถ้อยคําที่จําเลยพูดปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงตามฟ้อง จําเลยมิได้ระบุถึงบุคคลที่ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทให้รู้ได้แน่นอนว่าเป็นองค์พระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ก็มิใช่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงมิใช่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พยานหลักฐานโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจําเลยกระทําความผิดตามฟ้องแต่อย่างใด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก iLaw

1 ปี สว. 67 : โหวตกฎหมาย 25 ฉบับ ผ่านพ.ร.บ. 20 ฉบับ แก้ไขร่างที่ผ่านมือสส. ไป 3 ฉบับ ผลงานร้อนแรงแซงสว. ชุดพิเศษ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

7 เรื่องควรรู้ในคดีมาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร

12 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม