นักวิเคราะห์จีนตั้งข้อสงสัย สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งไทย-กัมพูชาหรือไม่?
เว็บไซต์ 中华网 ในภาษาจีนเผยแพร่บทความเรื่อง "สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการยกระดับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นอิทธิพลแอบแฝงในเกมมหาอำนาจหรือไม่?" โดยตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งครั้งนี้มีตัวแปรสำคัญคือสหรัฐอเมริกาที่พยายามลดอิทธิพลของจีนโดยการสร้างภาวะเลือกข้างภายในอาเซียน
บทความชี้ว่า "บทบาทของสหรัฐอเมริกาในความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาได้รับความสนใจอย่างมาก นโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทยและกัมพูชามีความซับซ้อนและหลากหลาย ครอบคลุมทั้งความร่วมมือทางทหารและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ"
ทั้งนี้ นอกจาก นโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทยและกัมพูชามีความซับซ้อนและหลากหลายเหมือนที่บทความได้กล่าวถึงแล้ว ท่าทีของทั้งสองประเทศต่อสหรัฐฯ ก็ยังมีความหลากหลายแต่ก็คล้ายคลึงกัน โดยที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในเอเชียมายาวนาน แต่ก็มีความสัมพันะที่แนบแน่นกับจีน แม้ในระยะหลังไทยจะเอนเอียงไปทางจีนในทางเศรษฐกิจ แต่ในแง่ของความมั่นคงแล้วไทยก็ยังเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ
ในขณะที่ กัมพูชานั้นใกล้ชิดกับจีนอย่างมาก บทความชี้ว่า "ในกัมพูชา ฮุน มาเนต บุตรชายของฮุน เซน เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2566 ด้วยความปรารถนาที่จะลบล้างภาพลักษณ์ของ "การเมืองแบบผู้นำแกร่ง" เขาจึงผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจและความพยายามปราบปรามการทุจริต แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างจำกัด เศรษฐกิจของกัมพูชาพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเงินทุนจากจีนคิดเป็น 45% ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด และครอบงำโครงสร้างพื้นฐาน การผลิต และการท่องเที่ยว"
อย่างไรก็ตาม แม้กัมพูชาแม้จะใกล้ชิดกับจีนในแทบทุกด้าน แต่ก็ยังเปิดพื้นที่ให้กับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ แม้จะตัดขาดกันไปตั้งแต่ปี 2017 แต่เริมต้นในต้นปีนี้ กัมพูชาเริ่มหันกลับมาสานไมตรีด้านการทหารกับสหรัฐฯ อีกครั้ง
"สหรัฐอเมริกาได้เสริมสร้างขีดความสามารถทางทหารของทั้งสองประเทศผ่านการขายอาวุธ และโหมกระพือกระแสความคิดเห็นสาธารณะระหว่างประเทศผ่านองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)" บทความกล่าว
แต่ที่สำคับญก็คือ บทความยังชี้ด้วยว่า สหรัฐอเมริกายังพยายามลดอิทธิพลของจีนโดยการเลือกข้างภายในอาเซียน อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายเกินขอบเขต เนื่องจากสภาพแวดล้อมในภูมิภาคที่มั่นคงเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ผู้เขียนได้ส่งท้ายบทความว่า "พลังภายนอก (สหรัฐฯ) ควรเข้าใจด้วยว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการพื้นที่เพื่อการพัฒนาอย่างสันติ ไม่ใช่มาเป็นเบี้ยในเกมของมหาอำนาจ" และย้ำว่า "สิ่งที่ประเทศไทยและกัมพูชาต้องการคือการเจรจาและความร่วมมือ ไม่ใช่การเผชิญหน้า"
ในส่วนของกัมพูชานั้น "ฝ่ายค้านซึ่งถูกกระตุ้นด้วยกระแสวิพากษ์วิจารณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้คะแนนนิยมของฮุน มาเนตลดลงอย่างมาก อันเนื่องมาจากช่องว่างทางรายได้ที่รุนแรงและการทุจริตคอร์รัปชัน" และทำให้ "ความขัดแย้งชายแดนกลายเป็นข้ออ้างในการเบี่ยงเบนความตึงเครียดภายใน รัฐบาลไทยและกัมพูชากำลังใช้คำพูดที่ว่า "ปกป้องชาติ" เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชน กลยุทธ์นี้ถูกกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดประวัติศาสตร์"
"อย่างไรก็ตาม "กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจ" นี้เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านชายแดนเป็นอันดับแรก บั่นทอนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ และท้ายที่สุดจะบั่นทอนความไว้วางใจระหว่างประเทศ" บทความระบุ
โดยทีมข่าวจต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพนี้ถ่ายและเผยแพร่เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสำนักข่าว Agence Kampuchea Presse (AKP) แสดงให้เห็นนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต (ขวา) ของกัมพูชา กำลังจับมือกับนายพลโรนัลด์ พี. คลาร์ก (ซ้าย) ผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ แปซิฟิก ระหว่างการประชุมที่ทำเนียบสันติภาพในกรุงพนมเปญ (ภาพโดย POOL / AFP)