Intel-รัฐบาลทรัมป์ ปิดดีลเข้าถือหุ้น 9.9%
× กรุณาติดต่อทีมงานเพื่อดาวน์โหลดคลิป
ซานฟรานซิสโก, 23 ส.ค. (ซินหัว) — เมื่อวันศุกร์ (22 ส.ค.) อินเทล คอร์ปอเรชัน (Intel Corporation) ของสหรัฐฯ ประกาศการบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของอินเทล มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.88 แสนล้านบาท)
รัฐบาลสหรัฐฯ จะซื้อหุ้นสามัญของอินเทล 433.3 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 20.47 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 662 บาท) ซึ่งคิดเป็นหุ้นร้อยละ 9.9 ในอินเทล โดยอินเทลจะได้รับเงิน 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.84 แสนล้านบาท) ภายใต้กฎหมายชิปส์และวิทยาศาสตร์ และอีก 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.03 แสนล้านบาท) ภายใต้โครงการซีเคียว เอ็นเคลฟ (Secure Enclave)
อนึ่ง การลงทุน 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนี้เป็นส่วนเพิ่มเติมจากเงินสนับสนุนภายใต้กฎหมายชิปส์และวิทยาศาสตร์ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.12 หมื่นล้านบาท) ที่อินเทลได้รับแล้ว
ลิป-บู ตัน ซีอีโอของอินเทล กล่าวว่าอินเทลในฐานะบริษัทเซมิคอนดักเตอร์แห่งเดียวที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการผลิตวงจรรวมขั้นสูงในสหรัฐฯ ได้มุ่งทำให้สหรัฐฯ เป็นเจ้าของเทคโนโลยีขั้นสูงที่ล้ำหน้าที่สุดของโลก โดยอินเทลคาดหวังจะได้ทำงานเพื่อผลักดันความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการผลิตของสหรัฐฯ
การลงทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้จะเป็นการเข้าถือหุ้นโดยไม่เข้าไปมีบทบาทด้านการบริหารจัดการ ไม่มีตัวแทนในคณะกรรมการบริหาร หรือสิทธิกำกับดูแลหรือเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ ตกลงจะลงคะแนนเสียงให้สอดคล้องกับคณะกรรมการบริหารของอินเทลในประเด็นที่ต้องได้รับอนุมัติจากกลุ่มผู้ถือหุ้น (ยกเว้นบางกรณี)
รัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิ ระยะ 5 ปี ราคาหุ้นละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 647 บาท) สำหรับหุ้นสามัญของอินเทลเพิ่มเติมอีกร้อยละ 5 โดยสามารถใช้สิทธิได้เฉพาะในกรณีอินเทลยุติบทบาทการเป็นเจ้าของธุรกิจโรงหล่ออย่างน้อยร้อยละ 51
บลูมเบิร์กรายงานว่าการเข้าถือหุ้นบางส่วนในอินเทลของรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นการเข้าแทรกแซงบริษัทอเมริกันในระดับน่าตกใจ ทำลายบรรทัดฐานที่กลุ่มนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะยกเว้นในสถานการณ์พิเศษสุดอย่างเช่นภาวะสงครามหรือวิกฤตเศรษฐกิจเชิงระบบ